Walrus Music School โรงเรียนดนตรีสำหรับเด็ก
...ชนิกา สุขสมจิตร
“
การเรียนดนตรี ต้องเรียนเพื่อกลับไปเล่นด้วยตัวเองได้ในอนาคต ไม่ใช่เรียนเพื่อสอบผ่านเท่านั้น” นี่คือคำพูดเน้นย้ำของ ตติยะ เกียรติสุไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท วอลรัส มิวสิค เซ็นเตอร์ เจ้าของโรงเรียนสอนดนตรี Walrus Music School หรือ ครูกั๊กของเด็กๆ ที่ใช้แนวคิดนี้มาจุดประกายในการเปิดโรงเรียนดนตรี สร้างหลักสูตรการเรียนการสอนดนตรีเพื่อเด็ก โดยพยายามฉีกแนวไปจากโรงเรียนสอนดนตรีทั่วไปตติยะ กล่าวว่า แนวคิดของ Walrus Music School คือ การสอนดนตรีที่ผสมระหว่างดนตรีคลาสสิกกับป๊อปเข้าด้วยกัน โดยนำความสมัยใหม่ของเพลงไทยมาใช้เป็นเพลงสอนการเล่นดนตรี เพราะที่ผ่านมาระบบการศึกษาด้านดนตรีของไทยยังมีทักษะการสอนที่ควรจะพัฒนาให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะการสอนดนตรีเพื่อให้เด็กกลับไปเล่นได้ ไม่ใช่สอนเพื่อให้สอบผ่านอย่างเดียว
นอกจากนี้ การฝึกเด็กให้เรียนดนตรีต้องนำความรู้พื้นฐานดนตรีมาผสมกับแนวเพลงที่เด็กในปัจจุบันรู้จัก ไม่ใช่สอนเฉพาะเพลงของบีโธเฟน โมสาร์ต หรือโชแปง แต่ต้องนำเพลงป๊อปที่เด็กๆ ได้ยินได้ฟังมาผสมในการสอนด้วย เพราะจะทำให้เด็กซึมซับการเรียนได้เร็วกว่า
ขณะเดียวกัน ก่อนการสอนจะต้องศึกษานิสัย พฤติกรรมของเด็ก ชอบฟังเพลงอะไร ไม่ชอบเพลงอะไรด้วย เพื่อนำมาจัดหลักสูตรการสอนให้เหมาะสม รวมทั้งต้องขอความร่วมมือจากผู้ปกครอง สนับสนุนให้เด็กใส่ใจกับการฝึกซ้อมดนตรีที่บ้านด้วย
ตติยะ ย้ำว่า จุดเด่นของ Walrus Music School คือ ตัวหลักสูตรถูกออกแบบมาพิเศษสำหรับเด็กแต่ละคนโดยเฉพาะ เพราะเด็กแต่ละคนมีระดับความสามารถและความสนใจที่ไม่เท่ากัน หลักสูตรนี้เรียกว่า คลาสสิก มิกซ์ ป๊อป เป็นการสอนดนตรีแนวใหม่ นำพื้นฐานของดนตรีคลาสสิก มาใช้ในการเรียน ผสมกับเพลงป๊อปที่เด็กๆ รู้จักกันเป็นอย่างดีแล้ว เพื่อให้เด็กสามารถเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว และจดจำได้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญ ครูสอนดนตรีของที่นี่เป็นผู้ที่เรียนด้านดนตรีมาโดยตรง มีประสบการณ์ตรง และเข้าใจในตัวเด็กแต่ละคนเป็นอย่างดี อีกทั้งโรงเรียนยังเน้นกิจกรรมพิเศษ เช่น การออกไปจัดคอนเสิร์ตนอกสถานที่ เพื่อให้เด็กได้ลองเล่นกับสถานการณ์จริง
หลักสูตรที่เปิดสอน ประกอบไปด้วย เปียโน สอนเด็กอายุตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไป เน้นการเล่น การอ่าน และการฟังโน้ต
กีตาร์ สอนเด็กอายุตั้งแต่ 4 ขวบครึ่งขึ้นไป สอนกีตาร์คลาสสิก และนำกีตาร์ไฟฟ้าเข้ามาแทรกในบทเรียนเพื่อให้ได้บรรยากาศของดนตรีแนวร็อก อีกทั้งยังมีโอกาสได้ร่วมเล่นกับวงด้วย
ไวโอลิน สอนเด็กอายุตั้งแต่ 4 ขวบครึ่งขึ้นไป เป็นหลักสูตรที่สร้างขึ้นให้ง่ายสำหรับการเรียนรู้ โดยมีเพลงสำหรับไวโอลินในรูปแบบที่ไม่ซ้ำใคร ทั้งแนวอาร์แอนด์บี ฮิปฮอป และป๊อป
นอกจากนี้ ยังมีการสอน ร้องเพลง สอนเด็กตั้งแต่อายุ 4 ขวบครึ่งขึ้นไป หลักสูตรนี้นักเรียนจะถูกปั้นเหมือนร้องในห้องอัดเสียง หรือร้องออกเวทีคอนเสิร์ต โดยจะได้เรียนร้องเพลงอย่างละเอียดทุกคำ ทุกประโยค รวมทั้งการฝึกใช้เสียงจากส่วนต่างๆ
สุดท้าย เบส สอนเด็กตั้งแต่อายุ 6 ขวบขึ้นไป และ กลองชุด สอนตั้งแต่เด็กอายุ 4 ขวบครึ่งขึ้นไป โดยมีขนาดเครื่องดนตรีที่เหมาะสมกับเด็ก สามารถสอนให้เด็กวัย 4 ขวบครึ่ง ตีกลองเข้ากับวงได้
ตติยะ แนะนำว่า ช่วงอายุของเด็กที่เหมาะกับการเรียนดนตรีควรเริ่มตั้งแต่ 4 ขวบขึ้นไป เนื่องจากเครื่องดนตรีบางชนิดต้องอาศัยทักษะของนิ้วมือที่แข็งแรงไม่ว่าจะเป็นเปียโน หรือไวโอลิน หากอายุน้อยกว่านี้อาจจะทำให้เล่นเครื่องดนตรีได้ไม่ถนัด
อายุที่เหมาะที่สุดคือ 4 ขวบครึ่ง กำหนดเวลาเรียนวันละ 30 นาที หากเป็นเด็ก อายุ 46 ขวบ เรียนสัปดาห์ละ 2 วัน แต่ถ้าเป็นเด็กที่โตขึ้นมาอีกนิด ก็ใช้เวลาเรียน 1 ชั่วโมง เหตุผลที่ใช้เวลาเรียนต่อวันไม่มาก เนื่องจากเด็กเล็กจะมีสมาธิค่อนข้างสั้น ดังนั้นไม่ควรจะจัดเวลาเรียนให้นานเกินไป ประกอบการเรียนในแต่ละครั้งจะใช้ครู 1 คน ประกบนักเรียน 1 คน จึงทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
ส่วนค่าใช้จ่ายในการเรียนคอร์สละ 8,000 บาท คิดเป็น 12 ชั่วโมง ซึ่ง ตติยะ ยอมรับว่า อัตราค่าเรียนจะสูงกว่าโรงเรียนดนตรีแห่งอื่น แต่การจัดหลักสูตรของเขาไม่เหมือนที่อื่น โดยเฉพาะการดูแลเอาใจใส่เด็กยืนยันว่าครอบคลุมได้ดีกว่า ซึ่งต่างจากที่อื่นที่มีลักษณะการเรียนเป็นกลุ่มๆ ทำให้บางครั้งมีข้อบกพร่องในการสอนได้ง่าย
ตติยะ กล่าวว่า ตั้งแต่เปิด Walrus Music School มาเกือบ 3 ปี ถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดีในระดับหนึ่ง เพราะเน้นเรื่องคุณภาพทำให้ได้รับความไว้วางใจจากผู้ปกครอง
สำหรับการดำเนินงานของ Walrus Music School ยังมีเพียงสาขาเดียวที่ถนนพัฒนาการ เพราะจะเน้นเรื่องคุณภาพมากกว่าจำนวนเด็กที่มาเข้าเรียน บางคอร์สจะสอนด้วยตัวเอง จึงไม่ต้องการเปิดสาขาจำนวนมาก โดยเฉพาะการตั้งอยู่ในทำเลห้างสรรพสินค้า หลายคนจะมองว่าเกิดความสะดวกกับผู้ปกครองในระหว่างที่นั่งรอลูกๆ มาเรียนดนตรี แต่ส่วนตัวกลับมองว่าอาจทำให้เด็กเสียสมาธิกับบรรยากาศภายนอกที่จูงใจมากกว่า
ปัจจุบัน Walrus Music School มีครูสอนดนตรีทั้งหมด 15 คน เปิดสอนในช่วงเวลาหลังเวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ซึ่งเป็นช่วงหลังเลิกเรียน มีห้องเรียนทั้งหมด 10 ห้อง คุณครูแต่ละคนจะแยกคนละห้องต่อนักเรียน 1 คน
ในส่วนของเนื้อหาของหลักสูตรการเรียนดนตรี จะพยายามปรับอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเพลงที่นำมาสอน อย่างการสอนไวโอลินก็มีการทำเพลงในลักษณะของอาร์แอนด์บี หรือฮิปฮอป ซึ่งจะทำให้น่าสนใจ แทนที่จะเป็นเพลงเก่าๆ ที่อาจไม่ร่วมสมัย
พร้อมกันนี้ ยังจัดทำโครงการสอนดนตรีในโรงเรียนต่างๆ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการศึกษาให้เด็กๆ ที่สนใจเรียนดนตรี ด้วยการนำเครื่องดนตรีจริงเข้าไปสอน พร้อมกับการให้คำแนะนำความรู้ที่เกี่ยวข้องกับวิชาดนตรี ซึ่งที่ผ่านมาได้เข้ามาสอนให้กับโรงเรียนสาธิตบางนา โรงเรียนทรงวิทยา อนุบาลทรงวิทย์ เป็นต้น
ในช่วงปิดเทอมก็มีโครงการจัดกิจกรรม Walrus Music Camp แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ 1.ระดับเด็กเล็ก 46 ขวบ ฝึกสอนทักษะด้านดนตรี พร้อมกับมีกิจกรรมทางด้านศิลปะและการทำอาหาร ควบคู่กันไปด้วย
2.ระดับเด็กโตอายุ 11 ขวบขึ้นไป จะสอนการเล่นวงดนตรีร่วมกัน การฝึกซ้อมดนตรี ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อไปประกวดแข่งขัน เป็นต้น
ตติยะ ทิ้งท้ายด้วยว่า เด็กๆ ที่เรียนดนตรีจากโรงเรียนของเขา ได้วิชาและสามารถเล่นดนตรีได้แน่นอน
สนใจสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 023187534


