ร้องรัฐช่วยเพิ่มส่งออกเข้าตลาดจีน
โพสต์ทูเดย์
— เสนอรัฐช่วยผู้ประกอบการอาหาร เพิ่มขีดความสามารถแข่งขันส่งออก ปูทางเข้าตลาดจีนนายอมร งามมงคลรัตน์ รักษาการผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า จากข้อตกลงทางการค้าไทยจีน (เอฟทีเอ) ที่มีผลบังคับใช้ไปแล้วตั้งแต่ปี 2548 จนถึงปี 2552 รวมระยะเวลา 6 ปี สินค้าเกษตรอาหารของไทยเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญกลุ่มแรกๆ ที่ได้รับผลจากข้อตกลงนี้ โดยจีนได้กลายเป็นตลาดสำคัญที่กำหนดทิศทางการส่งออกสินค้าอาหารของไทย และเป็นคู่ค้าสินค้าอาหารอันดับ 3 ของไทย มีสัดส่วน 6.25% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทย มูลค่าปี 2552 เท่ากับ 7.5 แสนล้านบาท แต่สินค้าอาหารของไทยส่วนใหญ่กว่า 90% ที่ส่งเข้าไปขายในจีนยังเป็นเพียงสินค้าในกลุ่มวัตถุดิบ
สำหรับสินค้าอาหารแปรรูป สำเร็จรูป หรือสินค้ามูลค่าเพิ่ม ยังมีสัดส่วนการส่งออกเพียง 10% เช่น เครื่องปรุงรส ผักผลไม้กระป๋อง ขนมปังกรอบ และก๋วยเตี๋ยวพร้อมปรุง เป็นต้น โดยสินค้าดังกล่าวแต่ละชนิดส่งออกไม่ถึง 1% ของมูลค่าการส่งออกอาหารทั้งหมดของไทยไปจีน
ขณะที่สินค้าอาหารที่จีนส่งมาขายไทยเป็นกลุ่มอาหารแปรรูปหรือสินค้ามูลค่าเพิ่มที่มีสัดส่วน 33% ของการส่งออกอาหารทั้งหมดของจีนมาไทย
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องเร่งทบทวนการเจรจาเอฟทีเอ เพื่อหาทางตั้งรับผลกระทบที่จะเกิดขึ้น และเพื่อรุกตลาดจีนกลับภายใต้ข้อตกลงการค้าอาเซียนจีนแทน โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องระวังในการแข่งขันคือ ราคา และการกีดกันที่มิใช่ภาษี ที่จะเป็นเครื่องมือที่ถูกนำมาใช้เพิ่มมากขึ้น
**ดังนั้น กลุ่มผู้ประกอบการที่จะได้รับประโยชน์จากการค้าเสรีภาครัฐต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าอาหารของไทยโดยใช้แนวคิดที่เน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อเพิ่มและรักษามูลค่าการค้าของไทย และต้องให้มีความแตกต่างจากสินค้าของคู่แข่งในกลุ่มอาเซียนจึงจะสามารถแข่งขันได้
**นอกจากนี้ การบริหารจัดการด้านการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุน การบริหารจัดการด้าน โลจิสติกส์ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในด้านราคาได้ และการยกระดับผู้ประกอบการในด้านระบบคุณภาพมาตรฐานสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และความปลอดภัยอาหาร เป็นต้น ถือว่าเป็นจุดแข็งที่สำคัญของไทยเมื่อเปรียบเทียบกับหลายประเทศในอาเซียน
**ส่วนกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่ผลิตสินค้าเพื่อป้อนตลาดในประเทศ ผู้ประกอบการในกลุ่มนี้จะต้องสามารถแข่งขันกับสินค้าต้นทุนต่ำจากประเทศจีน และรวมถึงประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียนด้วยกัน ภาครัฐจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้สามารถแข่งขันได้ ด้วยการช่วยเหลือด้านการลดต้นทุน การจัดการด้าน โลจิสติกส์ การพัฒนาเทคโนโลยีการผลิต และการส่งเสริมการรวมกลุ่มในลักษณะคลัสเตอร์ เป็นต้น


