posttoday

สะท้อนภาพ'เฉลียว อยู่วิทยา'เงินทำบุญต้องมากกว่างบโฆษณา

23 มีนาคม 2555

การถึงแก่กรรมของเศรษฐีแสนล้าน เฉลียว อยู่วิทยา ผู้ได้สมญาว่า เจ้าพ่อกระทิงแดง

การถึงแก่กรรมของเศรษฐีแสนล้าน เฉลียว อยู่วิทยา ผู้ได้สมญาว่า เจ้าพ่อกระทิงแดง

กับความเป็นคนสมถะ โลว์โพรไฟล์ และน้อยครั้งนักที่จะมีภาพออกสู่สังคม แต่ในแง่มุมของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้งในประเทศและต่างประเทศ ทำให้ชีวิตของ เฉลียว เป็นเรื่องที่น่าเรียนรู้และควรแก่การเป็นต้นแบบ

และผู้ที่จะสะท้อนภาพของเจ้าพ่อกระทิงแดงในแง่มุมเชิงลึกถึงแก่นแท้ได้ดีที่สุด คงหนีไม่พ้น สุทธิรัตน์ อยู่วิทยา บุตรสาว ที่เข้ามาสานต่อทั้งธุรกิจและเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่อในการทำงานเพื่อสังคม และที่สำคัญคือ บุคลิกและการดำรงชีวิตที่เรียกได้ว่าถอดแบบมาจากผู้เป็นพ่อ หรือ สุทธิรัตน์ เรียกว่า ป๋า นั่นเอง

สุทธิรัตน์ ซึ่งวันนี้ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้บริหารและผู้อำนวยการแผนกกิจกรรมเพื่อสังคม บริษัท เครื่องดื่มกระทิงแดง เล่าว่า คุณพ่อเริ่มวางมือจากธุรกิจตั้งแต่อายุ 70 กว่าปี โดยให้ลูกๆ มาสานต่อระยะหนึ่งแล้ว แต่การวางมือครั้งนั้นไม่ใช่การปล่อยวาง เพราะท่านยังรับรู้ทุกเรื่องผ่านการบอกเล่าของทุกคน และให้คำแนะนำในการดำเนินธุรกิจเสมอมา

สิ่งที่ได้เรียนรู้จาก “ป๋า” คือ หัวใจของการทำธุรกิจที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ การมองที่คน ไม่ใช่มองที่เทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว การทำงานของกลุ่มกระทิงแดงจึงเน้นให้ทุกคนในองค์กรอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวเดียวกัน ทำงานด้วยความสุข ความรัก

“นี่เป็นสไตล์การทำงานของคุณพ่อ บางคนอยู่มาตั้งแต่เริ่มแรก ถึงวันนี้ก็ยังอยู่ เพราะทำงานด้วยความรักและความสุข”

ในวันนี้บอกได้ว่าคุณพ่อไปแบบหมดห่วง เพราะปกติทุกวันท่านก็จะเห็นพวกเราทำงานกันมา เราเหมือนเดิม เสมอต้นเสมอปลาย เจอกันทุกวัน กินข้าวด้วยกันก็จะรายงานความเคลื่อนไหวความเป็นไปให้ทราบตลอดเวลา ท่านไปอย่างสงบจริงๆ

สะท้อนภาพ'เฉลียว อยู่วิทยา'เงินทำบุญต้องมากกว่างบโฆษณา

 

“คุณพ่อทำธุรกิจแบบใจซื้อใจ”

นี่เป็นอีกหัวใจสำคัญของการทำให้เจ้าพ่อกระทิงแดงประสบความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งเห็นได้จากผนึกพันธมิตรบุกตลาดต่างประเทศ จนทุกวันนี้เครื่องดื่ม “เรดบูล” โด่งดังไปทั่วโลก และเป็นแบรนด์ไทยไม่กี่แบรนด์ที่ยืนผงาดในตลาดโลกอย่างกล้าแกร่ง

ในตลาดต่างประเทศสำหรับกระทิงแดง มองว่าเป็นโอกาส ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากพื้นฐานการทำธุรกิจของคุณเฉลียวซึ่งก็คือความจริงใจต่อกัน นั่นเอง

สิ่งที่ฝากไว้จนถึงวาระสุดท้าย คือ ความเรียบง่ายของทุกอย่าง แม้กระทั่งงานศพท่านก็ต้องการให้เป็นไปอย่างเรียบง่าย เงินที่ได้จากทุกคนที่มาช่วยงาน พี่น้องเราทุกคนตกลงกันแล้วว่าจะบริจาคทุกบาททุกสตางค์ให้วัดเครือวัลย์ทั้งหมด

เมื่อย้อนมองถึงการอบรมเลี้ยงดูลูกจนสามารถสานต่อธุรกิจได้อย่างวางใจ สุทธิรัตน์ ระลึกความหลังให้ฟังว่า ตั้งแต่เด็ก ก่อนนอนทุกวันพ่อจะเปิดเทปปรัชญาการดำรงชีวิตของท่านเหลี่ยวฝานให้ฟัง ซึ่งมีหลัก 4 ข้อ คือ ข้อที่ 1 การสร้างอนาคต ข้อที่ 2 วิธีแก้ไขความผิดพลาด ข้อที่ 3 วิธีสร้างความดี และข้อที่ 4 ความถ่อมตน

ทั้งหมดนี้สามารถนำมาปรับใช้ได้ทั้งการดำรงชีวิตและการทำธุรกิจ และที่ลืมไม่ได้ คือ ความกตัญญูรู้คุณคน ไม่ว่าจะกับใครที่มีอุปการคุณกับเรา ทั้งเพื่อน พ่อแม่ พี่น้อง หรือแม้แต่พันธมิตรธุรกิจก็ตาม รวมไปถึงความสามัคคีปรองดองกัน

“การทำดีเป็นสิ่งที่พ่อสอนมาตลอด ไม่ว่าจะกับใครก็ตาม การทำดีไม่จำเป็นต้องให้ใครเห็น คนปิดทองหลังพระได้บุญ แต่คนที่ทำดีให้คนเห็นความดีจะลดลงไปเรื่อยๆ”

ภาพของเศรษฐีแสนล้าน “เฉลียว” ในวัย 70 ปี จะขี่จักรยาน อ่านหนังสือพิมพ์ ฟังธรรมะ เดินกึ่งจงกรมรอบบ้านด้วยสติ ใส่งอบ เสื้อขาว กางเกงแพร นี่คือความเรียบง่ายที่หลายคนอาจนึกภาพไม่ออก เพราะช่างขัดกับบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคมมากมายที่ชอบออกสื่อ แต่สำหรับบุคคลนี้ไม่ใช่เลย

เห็นได้จากการที่ได้รับความยกย่องว่าเป็นเศรษฐีแสนล้านติดอันดับต้นๆ ของเศรษฐีเมืองไทย และติดอันดับโลก แต่สำหรับ “เฉลียว” แล้ว เมื่อมีคนบอกว่าเขารวย ไม่ว่าใครจะจัดให้ติดอันดับโลกหรือประเทศยังไง เขาบอกกับลูกๆ เสมอว่า เราทุกคนเกิดมาจากดิน ทุกคนมีกรรมของตัวเอง สุดท้ายก็เป็นเถ้าธุลี ไม่มีใครเอาไปได้เลยแม้แต่อย่างเดียว

อีกนโยบายที่ทุกคนรับรู้ว่าเป็นเจตนารมณ์ที่ เฉลียว บอกไว้เสมอ คือ ไม่อยากให้ใช้เงินโฆษณามากกว่าเงินที่ใช้ทำบุญหรือช่วยเหลือสังคม

ความคิดนี้สะท้อนออกมาชัดเจนเป็นรูปธรรม จากการเดินหน้าโครงการเพื่อสังคมอย่างต่อเนื่องของแบรนด์กระทิงแดง ตั้งแต่โครงการอีสานเขียวที่เข้าไปร่วมกับภาครัฐ เพิ่มพื้นที่ปลูกข้าวให้ชาวนา การจัดกิจกรรมเรื่องน้ำ ไปจนถึงการศึกษา การดูแลชุมชน และอีกมากมาย

แม้กระทั่ง สุทธิรัตน์ ที่เข้ามาสานต่อเจตนารมณ์ในเรื่องการของตอบแทนสังคมเต็มตัวยังนับโครงการทั้งหมดไม่ไหว แต่ทุกโครงการจะยึดประเด็นหลัก 3 เรื่อง คือ 1.ความมั่นคงทางด้านอาหาร 2.เรื่องสิ่งแวดล้อม และ 3.การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส

ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา สุทธิรัตน์ ได้เดินหน้าโครงการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยปีละ 10-12 โครงการ โดยในปี 2554 ที่ผ่านมามีถึง 17 โครงการ ซึ่งหลักๆ จะอยู่ภายใต้ 3 หัวข้อดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นหัวใจของการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาสังคม รวมทั้งเป็นปัจจัย 4 ซึ่งเป็นพื้นฐานความจำเป็นของชีวิต

สิ่งที่ได้จากการทำกิจกรรมที่ผ่านมา ทำให้ได้อะไรกลับมามากมาย ได้เรียนรู้ว่าในที่สุดแล้วการย้อนกลับสู่พื้นฐานและอดีต และได้หัวใจสำคัญของการสร้างความยั่งยืน

หลังจากเข้าไปสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคม คือ เกิดคำถามที่ว่าถ้าให้ไปเรื่อยๆ แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะหยุด คำตอบของคำถามนี้ คือ การสร้างให้ทุกคนมีจิตอาสา เพื่อให้โครงการคงอยู่ได้ด้วยทุกคนที่มีจิตอาสา แม้ว่าวันหนึ่งเราจะไม่อยู่แล้วก็ตาม

สุทธิรัตน์ยกตัวอย่างของโครงการมือมีน้ำใจ ที่เข้าไปหาชุมชน ใช้วัฒนธรรมเดิมที่ชุมชนมีอยู่เพื่อสร้างความร่วมมือในชุมชนภายใต้การสนับสนุนของบริษัท โดยไม่ทำลายความเป็นมาหรือวัฒนธรรมดั้งเดิมของชุมชนนั้น ที่สำคัญคือ ต้องสร้างจิตอาสา เพื่อให้เกิดความร่วมมือร่วมใจกัน และเกิดการทำงานอย่างยั่งยืน

“เช่น การส่งเสริมชุมชนให้ปลูกข้าว วันหนึ่งก็มีข้าวจากชุมชนส่งกลับมาให้เราเป็นกระสอบ ซึ่งมีค่ามากกว่าเงินทอง”

วันนี้แม้จะสิ้นพ่อ แต่สำหรับลูกทุกคนแล้วพ่อยังคงอยู่ในใจเสมอ และพร้อมที่จะสานต่อทั้งแนวคิด ธุรกิจ การทำบุญ และการตอบแทนคืนสู่สังคม ที่พ่อได้เป็นต้นแบบให้ต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด

นี่คือเจตนารมณ์ของรุ่น 2 ในตระกูลอยู่วิทยา ที่พร้อมนำพากระทิงแดงผงาดต่อไป!!!

 

ข่าวล่าสุด

"พลังงาน" สั่งเข้ม! ตรวจสอบปริมาณส่งออกน้ำมัน ทางบก-เรือ พร้อมร่วมมือกองทัพสกัดลักลอบส่งน้ำมันเข้ากัมพูชา