ซีเล็คตรึงราคาเดิมอีก6เดือน
ซีเล็ค เร่งบริหารต้นทุนตรึงราคาเดิมใน6เดือน พร้อมทุ่มงบตลาดต่อเนื่องใน3ปี วาดเป้าสู่แบรนด์ปลากระป๋องระดับเอเชีย
ซีเล็ค เร่งบริหารต้นทุนตรึงราคาเดิมใน6เดือน พร้อมทุ่มงบตลาดต่อเนื่องใน3ปี วาดเป้าสู่แบรนด์ปลากระป๋องระดับเอเชีย
นายวิชัย เอี่ยมแสงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทธีร์ โฮลดิ้ง ผู้ผลิตและทำตลาดปลาซาร์ดีนและปลาทูน่ากระป๋องตรา‘ซีเล็ค’เปิดเผยว่าบริษัทจะยังตรึงราคาสินค้ากลุ่มปลากระป๋องไม่มีการปรับราคาเพิ่มแต่อย่างใด ตามแผนธุรกิจระยะสั้น3-6เดือนนับจากนี้ แต่จะมุ่งบริหารต้นทุนการดำเนินการในภาพรวมที่รัดกุมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการเจรจาจัดซื้อวัตถุดิบจากผู้ผลิต(ซัพพลายเออร์) เพื่อให้ยังคงราคาเดิม ส่วนต้นทุนแรงงานที่ปรับเพิ่มขึ้น300 บาทนั้น ในส่วนของบริษัทแม่ ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์(ทียูเอฟ)จะเข้ามาช่วยแบ่งเบาให้กับบริษัทส่วนหนึ่ง
สำหรับแผนระยะยาวบริษัทใน5ปีนี้(2555-2560) เตรียมงบการทำตลาดต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาทต่อปีภายใน 3ปี เพื่อทำตลาดเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้บริษัทเตรียมงบกว่า 100 ล้านบาท ปรับโฉมพร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่(รีลอนช์)ผลิตภัณฑ์ซีเล็ค เป็นครั้งแรกในรอบ 10ปี เพื่อสื่อสารภาพลักษณ์แบรนด์ใหม่ ให้เป็นที่จดจำและอยู่ในใจผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในตลาดอาหารปลากระป๋องมากขึ้น หลังจากแบรนด์สินค้าดังกล่าวทำตลาดในไทยมานานกว่า 16ปี
ล่าสุดบริษัท ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัทดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าตราดอยคำ ผลิตภัณฑ์โครงการหลวง ในการผลิตปลากระป๋องในซอสมะเขือเทศ โดยใช้มะเขือเทศเข้มข้นตราดอยคำเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพื่อขยายภาพลักษณ์ความสินค้าปลากระป๋องระดับบนที่เข้าถึงได้ของปลาซาร์ดีนในซอสมะเขือเทศบรรจุกระป๋องตราซีเล็ค นับจากนี้
แนวทางดังกล่าวยังเป็นส่วนหนึ่ง ในการทำตลาดเชิงรุกผลิตภัณฑ์ซีเล็คปลากระป๋อง โดยบริษัทวางเป้าไปสู่แบรนด์ปลากระป๋องอันดับ1ในตลาดเอเชีย จากปัจจุบันแบรนด์ซีเล็ค อยู่ในอันดับ 6-7 ในตลาดดังกล่าว โดยมีผู้เล่นหลักในประเทศต่างๆ อาทิแบรนด์อะยัมของมาเลเซีย และแบรนด์อื่นๆ ทั้งในไทย และเวียดนาม เป็นต้น โดยบริษัทจะใช้จุดแข็งจากบริษัทแม่ ทียูเอฟ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกปลาทูน่ารายใหญ่เป็นอันดับต้นๆของโลกที่มีเครือข่ายในการทำตลาด เป็นต้น
ปัจจุบัน บริษัทมียอดขายในตลาดส่งออกสัดส่วน 20% และในประเทศ 80% โดยวางเป้าใน5ปีหน้ามีสัดส่วนยอดขายในและต่างประเทศเท่ากัน 50% ขณะที่สิ้นปี55 คาดตั้งเป้าเติบโตรายได้เพิ่มขึ้น 20% จากปีก่อนมียอดขายในกลุ่มปลาซาร์ดีนกระป๋อง1,500 ล้านบาท และทูน่า กระป๋อง 400 ล้านบาท หรือมียอดขายเกือบ 2,000 ล้านบาท และรายได้จากการส่งออก 400-500 ล้านบาท
จากปัจจุบันตลาดปลากระป๋องในไทยมีมูลค่ารวมกว่า 6,200 ล้านบาท โดยตราสามแม่ครัวครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ1 กว่า30%, อันดับ 2 ตราซีเล็ค ส่วนแบ่งราว15% ,อันดับ3 โรซ่า 10% และอันดับ 4และ5ใกล้เคียงกัน คือ ซีเชฟ และปุ้มปุ้ย ส่วนแบ่งราว 5% โดยบริษัทวางเป้าภายใน 3 ปีนับจากนี้ จะสามารถขึ้นครองส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ในตลาดปลากระป๋องประเทศไทย และภายใน 5ปีจะมียอดขายรวมกันไม่ต่ำกว่า 8,000 ล้านบาท


