พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล กับบทกุนซือ ปั้นอสังหาฯไฮเอนด์
นับตั้งแต่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองกลายเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 มาเกือบ 5 ปี
นับตั้งแต่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองกลายเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 มาเกือบ 5 ปี
โดย...วราพงษ์ ป่านแก้ว
นับตั้งแต่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองกลายเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 มาเกือบ 5 ปี พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีตแกนนำคนสำคัญของพรรคไทยรักไทย ได้ผันตัวเองมาเป็น The Man Behind ขับเคลื่อนทางการเมืองให้กับพรรคมาโดยตลอด
ไม่เฉพาะบทบาททางการเมืองที่ พงษ์ศักดิ์ สวมบทเป็นกุนซืออยู่หลังม่าน ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เจ้าตัวถือเป็นหนึ่งในดีเวลอปเปอร์ยุคย้อนหลังไปกว่า 20 ปี ผู้ปลุกปั้นหมู่บ้านหรู เกศินี วิลล์ ย่านเหม่งจ๋าย เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในยุคนั้น
วันนี้ พงษ์ศักดิ์ หวนคืนกลับสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกครั้ง แต่เปลี่ยนจากผู้อยู่หน้าฉากสลับมาอยู่หลังฉากในฐานะประธานที่ปรึกษาบริษัท เก้าเชือก บริษัทที่ยกให้เพื่อนสนิทและลูกๆ ของเพื่อนเข้ามาบริหารงาน โดยมีเป้าหมายที่จะเข้าสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มตัว
“หลานๆ (ลูกของเพื่อน) อยากจะทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จึงขอให้ช่วยเป็นที่ปรึกษา เพราะเห็นว่ามีประสบการณ์ทำโครงการหรูมาก่อน” พงษ์ศักดิ์ ย้อนความ
นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับมาเป็นกุนซือธุรกิจให้กับลูกๆ ของเพื่อนสนิท โดยมีความปรารถนาจะประคับประคองให้หลานๆ สามารถยืนและตั้งตัวทำธุรกิจของตัวเองได้ โจทย์ที่ได้ คือ อยากเริ่มต้นจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมในเมืองสักโครงการ
“เมื่อรับเป็นที่ปรึกษาให้แล้ว ผมก็เริ่มสอบถามจากพรรคพวกที่เป็นลูกค้าคอนโดหลายแห่ง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้อยู่ในคอนโดนั้นจริงๆ จังๆ เป็นเพราะอะไร ถามไปหลายๆ คน คำตอบที่ได้เหมือนกัน คือ คอนโดอยู่แค่ในห้อง ทำอะไรก็ไม่สะดวก หากต้องรับแขก มีปาร์ตี้ หรืออยู่ๆ ไปก็รู้สึกเบื่อ ไม่อยากจะอยู่สุดท้ายก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม”
พงษ์ศักดิ์ สรุปว่า คอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ขาดความมีชีวิต ขาดฟิลลิงในการอยู่อาศัย เพราะมีชีวิตแค่การอยู่ในห้องเป็นส่วนใหญ่ พื้นที่ส่วนกลางไม่ได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่รู้สึกว่าพื้นที่ส่วนกลางไม่ใช่ส่วนที่เป็นบ้านของเขา นี่คือโจทย์ที่จะต้องแก้
“พอดีผมได้เดินทางไปหลายที่ ได้เห็นโครงการไฮเอนด์มาหลายแห่ง ทั้งที่เป็นโรงแรมหรูระดับ 7 ดาว ได้เห็นการให้บริการที่ดีเยี่ยม จึงคิดจะนำมาประยุกต์ใช้กับโครงการที่จะพัฒนาขึ้น โดยวางแนวคิดโครงการให้เป็นเหมือนบ้านเล็กในบ้านใหญ่ นั่นคือ ห้องชุดที่ลูกค้าซื้อจะเป็นเหมือนบ้านเล็ก โดยมีพื้นที่ส่วนกลางของทั้งโครงการเป็นเหมือนบ้านใหญ่”
แนวคิดดังกล่าวต้องการใช้พื้นที่ส่วนกลางให้เกิดประโยชน์สูงสุด สามารถรองรับการอยู่อาศัยของคนในคอนโดมิเนียมได้ เสมือนส่วนหนึ่งของบ้านตัวเอง พงษ์ศักดิ์ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า อย่างห้องอาหารในโครงการจะจัดให้เป็นห้องสำหรับรับประทานอาหาร แต่ไม่มีอาหารขาย มีแต่พนักงานคอยบริการ ถ้าลูกค้าอยากจะชวนเพื่อนมากินข้าวที่บ้าน ก็มาตรงห้องนี้ ซื้อข้าว ซื้ออาหารมา ให้พนักงานใส่จาน อุ่น เสิร์ฟ ให้เหมือนบริการของโรงแรม 5 ดาว ก็สามารถพาเพื่อนมากินข้าวในอารมณ์เหมือนกินข้าวที่บ้านได้
ดังนั้น ทุกส่วนของพื้นที่ พงษ์ศักดิ์ จะเป็นคนกำหนดรูปแบบที่ลงไปถึงรายละเอียดเอง ทั้งห้องอาหาร ห้องรับแขก สระว่ายน้ำ พื้นที่ในส่วนต้อนรับ โดยนำแบบที่เคยเห็นในสถานที่ต่างๆ มาประยุกต์ใช้ “ผมบอกกับหลานๆ ว่า ถ้าจะทำโครงการระดับหรู ก็ต้องใช้ของดีๆ อย่าไปใช้ของถูก เพราะเขาจะไม่ซื้อ ถ้าไม่ทำอย่างนี้ ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน” พงษ์ศักดิ์ ย้ำ
นั่นคือที่มาของโครงการเลทีเซีย คอนโดมิเนียมโครงการแรกในฐานะกุนซือของหลานๆ ที่จะพัฒนาเป็นโครงการระดับไฮเอนด์ในซอยพระราม 9 ซอย 17 หรือซอยโรงเรียนญี่ปุ่น เป็นคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น 2 อาคาร ห้องชุดมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 52320 ตร.ม. จำนวน 129 ยูนิต ขายในราคาขายเริ่มต้น 5 ล้านบาท และหรูสุดราคา 30 ล้านบาท ใช้เงินลงทุนประมาณ 750 ล้านบาท
พงษ์ศักดิ์ บอกว่า ขณะนี้ยังไม่เปิดขายอย่างเป็นทางการแต่ก็ได้รับผลตอบรับที่ดี เพราะพื้นที่ขายทั้งหมดมี 1.1 หมื่น ตร.ม. ตอนนี้ก็ขายไปได้แล้ว 6,000 ตร.ม. หรือสัก 60% คาดว่าโครงการสร้างเสร็จประมาณเดือน พ.ย. ก็น่าจะปิดการขายได้
นอกจากโครงการนี้แล้ว ยังได้พัฒนาโครงการทาวน์โฮมที่ใช้แบรนด์ เลทีเซีย เช่นเดียวกันอยู่ในโครงการเกศินี วิลล์ จำนวน 18 ยูนิต สูง 4 ชั้น ขายราคา 22 ล้านบาท ตอนนี้มีลิสต์คนที่ต้องการจะซื้อแล้ว 910 ยูนิต หากโครงการเสร็จก็คงขายหมดเช่นเดียวกัน
ส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้โครงการมียอดขายที่น่าพอใจ เกิดจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ที่ผ่านมา พงษ์ศักดิ์ ยอมรับว่า คนมีเงินที่บ้านถูกน้ำท่วม เขาต้องการหาที่อยู่ใหม่ที่อยู่ในเมือง ไม่จำกัดว่าจะเป็นบ้าน หรือคอนโดมิเนียม แต่เมื่อมาดูแล้ว บ้านในเมืองค่อนข้างหายากมาก ทำให้คอนโดมิเนียมหรูในเมืองกลายเป็นสินค้าขายดีไปโดยปริยาย
แม้ผลกระทบจากน้ำท่วมจะเป็นแค่กระแสชั่วคราวที่ทำให้คอนโดมิเนียมในเมืองขายดี แต่เป้าหมายของบริษัทจะยังคงเดินหน้าพัฒนาโครงการในเมืองเป็นหลักต่อไปเป็นโครงการเล็กๆ อยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก จะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียมขึ้นอยู่กับที่ดินที่ได้มา แต่ที่แน่ๆ จะยังคงโฟกัสในโครงการระดับไฮเอนด์เป็นหลัก
“ตลาดที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ยังไปได้เรื่อยๆ เพราะกลุ่มคนที่จะซื้อเป็นคนที่มีเงินอยู่ในมือ เขาไม่สนใจหรอกว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี แต่เขาจะซื้อเมื่อเกิดความพอใจ แต่ที่ตลาดไฮเอนด์ในช่วงที่ผ่านมาอยู่ในภาวะชะลอตัวเป็นเพราะมีของออกมาเยอะ และที่สำคัญคือไม่ใช่ของที่เป็นไฮเอนด์จริงๆ คนเลยไม่ซื้อ ซึ่งจากประสบการณ์ที่เคยทำบ้านหรูมา ถ้าเป็นโครงการที่ใช่จริงๆ ไม่ต้องกลัวกับความเสี่ยง เพราะมีคนซื้อแน่ๆ” พงษ์ศักดิ์ ให้ความเห็น
ก่อนจาก พงษ์ศักดิ์ ทิ้งท้ายมองตลาดบ้านในปีนี้และปีหน้า พร้อมกับฟันธงว่า บ้านทำเลนอกเมืองจะยังคงขายยากจนกว่าจะเห็นว่าน้ำไม่ท่วม ช่วงนี้คนจะหันมาอยู่ในเมืองเป็นหลัก
นั่นคือบทบาทกุนซืออสังหาริมทรัพย์ของ พงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล ที่วันนี้ยืนยันว่างานเบื้องหลังมีความสุขกว่าลงมือทำเองเยอะ


