การตรวจสอบและประเมินภาษีเพื่อป้องกันการทุจริต (1)
ผมได้เคยเขียนเรื่องการส่งเสริมให้ใช้มาตรการการตรวจสอบและประเมินภาษี
ผมได้เคยเขียนเรื่องการส่งเสริมให้ใช้มาตรการการตรวจสอบและประเมินภาษี
โดย..กิติพงศ์ อุรพิพัฒนพงศ์
มาตรา 49 กับผู้มีอิทธิพล ข้าราชการ นักการเมือง ที่คอร์รัปชันหรือนักธุรกิจที่ทุจริตหนีภาษีว่า ควรเป็นมาตรการคู่กับการป้องกันและการปราบปรามการทุจริตของคณะกรรมการ ป.ป.ช. และปัจจุบันการทุจริตฉ้อฉลทั้งในวงการเมือง ข้าราชการร่วมกับนักธุรกิจได้เกิดขึ้นสูงมาก
ปัจจุบันภาคเอกชนโดยเฉพาะสภาหอการค้าไทยและสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (โดยอดีตผู้นำองค์กรทั้งคู่คือ คุณชาญชัย จารุวัสตร์ และคุณดุสิต นนทะนาคร ผู้ได้ริเริ่มให้มีแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต แต่ได้เสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ ไม่รู้ว่าทำไมคนดีๆ ต้องเสียชีวิตไปสวรรค์แต่เร็วเกินไปครับ) ดังนั้น จึงมีองค์กรธุรกิจเอกชน อันได้แก่ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หอการค้าต่างชาติ สมาคมคมบริษัทจดทะเบียนไทย สมาคมธนาคารไทย และบริษัทที่ร่วมเป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริตเพื่อดำเนินการตามกรอบของ UN เรื่องการต่อต้านการทุจริต หลักการด้านธุรกิจว่าด้วยการต่อต้านการให้สินบนหรือ Transparency International และปัจจุบันมีบริษัทเอกชนเข้าร่วมโครงการเพียง 52 บริษัท ซึ่งนับว่าน้อยมาก
ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชันไม่ใช่เป็นปัญหาของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายเอกชนต้องให้ความร่วมมือ มาตรการกฎหมายการป้องกันการทุจริตตามกฎหมายใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกันไว้เป็นพยานการให้สินบนรางวัล การกำหนดราคากลางและที่เพิ่งประกาศเรื่องการยื่นบัญชีรายการรับจ่ายต่อกรมสรรพากร (ซึ่งยุ่งยากมาก) คงเป็นเรื่องที่ต้องรอดูความสำเร็จ แต่ผมเห็นว่ากฎหมายที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ควรเร่งรัดให้กรมสรรพากรใช้คือ อำนาจในการประเมินผู้เสียภาษีไม่ว่าเป็นใคร (โดยเฉพาะที่ร่ำรวยผิดปกติในทางข้าราชการการเมืองหรือนักธุรกิจที่ประพฤติผิดกฎหมาย) โดยอาศัยอำนาจอธิบดีกรมสรรพากร ในการประเมินภาษีโดยการกำหนดจำนวนเงินได้จากค่าเพิ่มสินทรัพย์สุทธิ (net worth) สำหรับผู้ที่ไม่ชำระเสียภาษีหรือเสียภาษีน้อยแต่มีทรัพย์สินมูลค่ามากๆ เช่น รถยนต์ราคาแพง บ้านคอนโดที่มีราคาแพง แต่เสียภาษีน้อยหรือไม่เสียภาษีเลย
ผมจึงอยากนำบทบัญญัติของกฎหมายและตัวอย่างคดีที่ผ่านมาเล่าให้ฟังครับ
โดยทั่วไปกฎหมายภาษีอากรของไทยมีบทบัญญัติที่จะใช้ตรวจสอบและประเมินภาษี
กับบุคคลที่มีรายได้แต่ไม่เสียภาษีหรือเสียภาษีไม่ถูกต้องอยู่แล้ว แต่เท่าที่ผ่านมากรมสรรพากรก็ไม่ได้ใช้ประเมินกับบุคคลผู้ต้องสงสัยว่ามีการทุจริตแต่ใช้กับผู้เสียภาษีโดยทั่วไป
ซึ่งกรมสรรพากรก็ควรที่จะนำมาใช้กับผู้มีอิทธิพล (ซึ่งผมให้หมายความรวมถึงนักการเมืองข้าราชการที่ทุจริตและนักธุรกิจที่หนีภาษีและผู้มีอิทธิพลอื่นๆ ที่ประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าพ่อเจ้าแม่อะไรก็แล้วแต่) โดยเฉพาะบางคนที่มีทรัพย์สินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นตอนยื่นบัญชีทรัพย์สินสำหรับนักการเมือง โดยไม่ทราบว่าแหล่งที่มาของทรัพย์สินเหล่านั้นมีที่มาอย่างไรหรือผู้ประกอบธุรกิจที่ผิดกฎหมายมีทรัพย์สินเป็นร้อยๆ ล้านบาท รัฐบาลจึงควรใช้อำนาจทางภาษีอากรเป็นเครื่องมือซึ่งจะรวดเร็วและได้ผลสำเร็จ
อำนาจที่สำคัญตามกฎหมายในการตรวจสอบและประเมินภาษีตามกฎหมายของกรมสรรพากรสามารถแบ่งพิจารณาได้ ดังนี้ 3 กรณี คือ
1.อำนาจในการตรวจสอบและประเมินภาษีทั่วไป โดยทั่วไปทั้งก่อนยื่นรายการเสียภาษีภายหลังการยื่น
2.การตรวจโดยวิธีพิเศษที่เรียกว่า วิธีการอำนาจการประเมินโดยการกำหนดจำนวนเงินได้สุทธิจากค่าเพิ่มสินทรัพย์สุทธิ (net worth)


