พีทีที โกลบอล เคมิคอล ธงนำปิโตรเคมีของ ปตท.
ในที่สุดแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นของบริษัท ปตท. (PTT)
ในที่สุดแผนการปรับโครงสร้างธุรกิจของบริษัทในกลุ่มปิโตรเคมีและโรงกลั่นของบริษัท ปตท. (PTT)
โดย..เจียรนัย อุตะมะ
โดยการรวมกิจการระหว่างบริษัท ปตท.เคมิคอล (PTTCH) และบริษัท ปตท.อะโรเมติกส์และการกลั่น (PTTAR) ก็แล้วเสร็จ และนำบริษัทแห่งใหม่เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เป็นวันแรก เมื่อวันศุกร์ที่ 21 ต.ค.ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ธงนำทัพธุรกิจปิโตรเคมีของ PTT ที่เหมาะสำหรับลงทุนในระยะยาวเท่านั้น เพราะในระยะสั้นยังไม่มีผลดีจากการรวมกิจการ
ผลการซื้อขายวันแรกราคาหุ้นไม่ได้วิ่งไปไหนไกล ปิดที่หุ้นละ 54 บาท แต่มูลค่าการซื้อขายติดอันดับสูงสุดประจำวัน
“วีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร PTTGC กล่าวว่า การควบบริษัทระหว่าง PTTCH กับ PTTAR ทำให้ PTTGC ก้าวขึ้นเป็นแกนนำด้านธุรกิจเคมีภัณฑ์ของกลุ่ม ปตท.ด้วยกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี รวม 8.2 ล้านตันต่อปี และกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมรวม 228,000 บาร์เรลต่อวัน ด้วยจุดแข็งด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย ทั้งสายโอเลฟินส์และอะโรเมติกส์อันเป็นการสร้างศักยภาพด้านการดำเนินงาน และช่วยลดความเสี่ยงจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจปิโตรเคมีในปัจจุบัน
PTTGC มีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 45,059.85 ล้านบาท โดยเป็นหุ้นสามัญ 4,505.98 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 10 บาท ธุรกิจหลักของ PTTGC ได้แก่ ธุรกิจปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ ธุรกิจการกลั่นน้ำมันและจัดหาผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมสำเร็จรูป ธุรกิจการให้บริการและธุรกิจอื่นๆ สำหรับนโยบายจ่ายเงินปันผล PTTGC จะจ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 30% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและสำรองต่างๆ ตามกฎหมาย
PTTGC นับเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่นครบวงจรที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เป็นรองเพียงบริษัท ปิโตนาส เคมิคัล ของมาเลเซีย และมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) สูงติดอันดับ 8 ของตลาดหลักทรัพย์
บริษัทปิโตรเคมีแห่งนี้ ได้รวมจุดเด่นของ PTTCH ที่เป็นผู้ผลิตต้นทุนต่ำจากการใช้ก๊าซเป็นวัตถุดิบภาวะอุตสาหกรรมโอเลฟินส์ที่ตกต่ำสุดในปีนี้ ทำให้เชื่อว่าโอกาสเสี่ยงจากส่วนต่างราคาขาลงมีน้อยและโอกาสขาขึ้นมีมากกว่า เพราะจุดเด่นของ PTTAR ได้แก่ส่วนต่างราคาพาราไซลีนที่มีแนวโน้มยืนอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากภาวะการผลิตตึงตัว
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ในตลาดเชื่อว่าผลบวกจากการควบรวมในระยะยาวอยู่ที่ 80.2154.4 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี ซึ่งจะเริ่มรับรู้ในปี 2556 และจะรับรู้เต็มที่ในปี 2558 เป็นต้นไป โดยใช้เงินทุนรวม 92 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อก่อสร้างระบบท่อรับส่งผลิตภัณฑ์ระหว่างกัน หรือคิดเป็นมูลค่าปัจจุบันสุทธิของผลดีจากการรวมกิจการ 5351,055 ล้านเหรียญสหรัฐ
แต่ระยะสั้นผลดีจากการควบรวมจำกัด เพราะสินค้าและกระบวนการผลิตของแต่ละบริษัทต่างกันระยะสั้น PTTGC จะลดต้นทุนการผลิตและการสร้างมูลค่าของผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เช่น โครงการลดต้นทุน อาทิ การนำโครงการลดต้นทุนการผลิต เช่น การนำผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอะโรเมติกส์หนักของ PTTAR มาใช้ในกระบวนการผลิตของ PTTCH ซึ่งปัจจุบัน PTTCH ต้องจัดซื้อจากภายนอก
ขณะที่ไฮโดรเจนส่วนเหลือของ PTTCH ยังสามารถนำมาใช้ในกระบวนการผลิตของ PTTAR เพื่อทดแทนการผลิตไฮโดรเจนจากหน่วย HMU ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงโครงการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ เช่น การนำออฟก๊าซรวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีองค์ประกอบของโพรเพน (C3) และบิวเทน (C4) ของ PTTAR มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ในสายโอเลฟินส์ของ PTTCH ขณะที่ด้านของ PTTAR ยังสามารถรับ Light CrackerBottom, Cracker Bottom รวมทั้งก๊าซโซลีนหนักจาก PTTCH มาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมที่มีมูลค่าสูงขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม จุดแข็งของ PTTGC หลังควบรวมกิจการอยู่ที่การขยายตลาดเพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาด โดยยังคงเน้นตลาดในภูมิภาคเป็นหลัก รวมทั้งมีโครงการขยายกำลังการผลิตปิโตรเคมีปลายน้ำ รวมทั้งเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เช่น โพรไพลีน ซึ่งจะใช้วัตถุดิบจากโรงกลั่นในการผลิต นอกจากนี้ต้นแบบธุรกิจในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีร่วมกันระหว่างผลิตภัณฑ์ในกลุ่มธุรกิจปลายน้ำของทั้งอะโรเมติกส์และโอเลฟินส์เพื่อให้เกิดผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งจะสร้างมูลค่าให้กับ PTTGC ในอนาคต โดยการผนึกกำลังเชิงกลยุทธ์ในรูปแบบดังกล่าว
ล่าสุด PTTCH ตัดสินใจเข้าซื้อหุ้น 50% กิจการเนเจอร์เวิร์กในสหรัฐ ด้วยเงินลงทุน 150 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทดังกล่าวดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับไบโอพลาสติก ขนาดกำลังการผลิต 1.4 แสนตันต่อปี แม้ปัจจุบันธุรกิจไบโอพลาสติกจะยังไม่สามารถสร้างกำไรสุทธิให้กับ PTTCH อย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากต้นทุนการผลิตยังไม่สามารถแข่งขันได้ เมื่อเทียบกับพลาสติกในสายปิโตรเคมี
แต่คุณสมบัติเด่นของไบโอพลาสติก คือสามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้ รวมทั้งไม่ก่อให้เกิดมลพิษ เนื่องด้วยผลิตจากพืช
ปัจจุบันการพัฒนาเทคโนโลยีจะทำให้ต้นทุนการผลิตลดลงและสามารถแข่งขันได้ในอนาคต ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ในการขยายธุรกิจ
“วีรศักดิ์” กล่าวว่า บริษัทยังคงเป้ารายได้รวมปีนี้ที่ 4 แสนล้านบาท จากปีก่อนที่ทำได้ 3.7 แสนล้านบาท แม้จะเกิดวิกฤตน้ำท่วมแต่ก็เชื่อว่าเป็นผลกระทบระยะสั้น ส่วนการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกกระทบส่งออกไม่มาก เพราะตลาดส่งออกอยู่ในอาเซียนเป็นหลัก
“12 เดือนที่ผ่านมา แม้น้ำจะท่วมหนัก แต่เรายังเดินเครื่องโรงกลั่นตามปกติ ตอนนี้ต้องเร่งสต๊อกเม็ดพลาสติกเพิ่มขึ้นอีก 10% รองรับลูกค้าเร่งกำลังผลิตหลังน้ำลด”
สำหรับแผนการลงทุนรองรับการเปิดเสรีอาเซียนในปี 2558 บริษัทสนใจที่จะลงทุนในอินโดนีเซีย เพราะเป็นประเทศที่นำเข้าปิโตรเคมีมาก
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เกียรตินาคิน คาดว่ากำไรไตรมาส 3 ปีนี้ของ PTTGC มีแนวโน้มลดลง 24% จากไตรมาส 2 เพราะกำลังการผลิตโดยรวมลดลงจากหน่วยผลิตโอเลฟินส์ที่มีการหยุดซ่อมตามแผน ทำให้คาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,545 ล้านบาท แต่เพิ่มขึ้น 140% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตาม กำไรจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 จากกำลังการผลิตโอเลฟินส์ที่กลับสู่ปกติ PTTGC เชื่อว่าจะสามารถเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตครบทุกหน่วย
แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีทั้งสายโอเลฟินส์และสายอะโรเมติกส์ยังมีทิศทางขาขึ้น โดยเฉพาะสายอะโรเมติกส์เพราะมีความต้องการในช่วงครึ่งหลังปีนี้ โดยโรงงานพีทีเอในจีน 3 โรงแล้วเสร็จกำลังการผลิตรวม 4.2 ล้านตันต่อปี ทำให้ความต้องการใช้พาราไซลีน (วัตถุดิบโรงงานพีทีเอ) เพิ่ม 8% ของความต้องการใช้พาราไซลีนทั่วโลกที่ 38 ล้านตันต่อปี และต่อเนื่องในปี 2555 ที่จะมีโรงงานพีทีเอเกิดใหม่กำลังการผลิต 7 ล้านตันต่อปี
ด้านการผลิตครึ่งหลังปีนี้ไม่มีการผลิตใหม่เข้าสู่ตลาดและปี 2555 มีการผลิตใหม่เกิดขึ้นเพียง 1.2 ล้านตันต่อปี เช่นเดียวกับสายโอเลฟินส์ที่ปี 2555 จะมีการผลิตใหม่สู่ตลาดเพียง 3 ล้านตันต่อปี น้อยกว่าการเติบโตของความต้องการใช้เฉลี่ยต่อปีโดยปกติที่ 5 ล้านตัน ทำให้ความต้องการซื้อและต้องการขายเกิดภาวะตึงตัวผลักดันให้ราคาและส่วนต่างราคาวัตถุดิบและราคาขายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีสูงขึ้น แม้ว่าความร้อนแรงจะลดลงกว่าที่คาดไว้ว่าจะเป็นวงจรขาขึ้นของปิโตรเคมี เพราะปัญหาเศรษฐกิจยุโรปและสหรัฐ
นักวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส คาด สเปรดเฉลี่ยปี 2555 เพิ่มขึ้นจากปีนี้เพียง 50 เหรียญสหรัฐต่อตัน
“หากพิจารณาแนวโน้มกำไรใน 23 ปีข้างหน้า พบว่ายังเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากปัจจัยราคาและปริมาณการผลิตและจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ของโรงงานปิโตรเคมีใหม่ บริษัท พีทีทีโพลิเอทิลีน (PTTPE) ตั้งแต่ปี 2554”
โบรกเกอร์ในประเทศให้ราคาเป้าหมาย 70-91 บาทต่อหุ้น และแนะนำให้ซื้อสวนทางโบรกเกอร์ต่างชาติ ที่แนะนำให้ขายและให้ราคาเป้าหมายต่อหุ้นเพียง 45-63 บาท
บล.ซีแอลเอสเอ แนะนำขาย PTTGC ราคาและให้เป้าหมาย 45 บาท ราคาผลิตภัณฑ์ผันผวน กำไรขึ้นอยู่กับส่วนต่างราคาวัตถุดิบกับราคาขาย (สเปรด) ไม่มีการขยายกำลังการผลิต ส่งผลต่อความเสี่ยงขาลงในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ประโยชน์จากการรวมกิจการเล็กน้อย แม้ว่าราคาถูกแล้วแต่อาจมีถูกกว่า
บล.เครดิต สวิส แนะนำน้ำหนักลงทุนปกติ PTTGC ราคาเป้าหมาย 63 บาท กำไรถูกขับเคลื่อนจากราคาน้ำมัน ส่วนต่างราคาโพลีโอเลฟินส์และพาราไซลีน ค่าการกลั่น แต่ราคาน้ำมันส่งผลต่อกำไรมากสุด
ดังนั้น จึงเผชิญแรงกดดันเพราะคาดว่าราคาน้ำมันดิบเบรนต์จะปรับตัวลงใน 6 เดือนข้างหน้า คาดกำไรไตรมาส 3 ปี 2554 จะออกมาแย่ และตลาดจะลดเกรดลงทุนในระยะสั้นและไร้ปัจจัยกระตุ้นราคาใน 6 เดือนข้างหน้า


