ไม่ร่วมมือ
มีคนมักจะมาบ่นกับผมอยู่บ่อยครั้งว่า พนักงานหรือลูกน้องไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือในการทำงาน ไม่ว่าจะสั่งอะไรไปก็ผิดพลาด หรือไม่ได้ดั่งใจไปเสียทั้งหมด
มีคนมักจะมาบ่นกับผมอยู่บ่อยครั้งว่า พนักงานหรือลูกน้องไม่ค่อยจะให้ความร่วมมือในการทำงาน ไม่ว่าจะสั่งอะไรไปก็ผิดพลาด หรือไม่ได้ดั่งใจไปเสียทั้งหมด
โดย..อานนท์
ก่อนอื่น ผมอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของกิจการ หัวหน้างาน หรือพนักงานทั่วไปได้หยุดคิดกันสักนิดหนึ่งว่า เวลาที่มีการกล่าวคำว่า “ไม่ร่วมมือ” นั้น จริงๆ แล้วหมายความว่าอะไร
สมมติหัวหน้างานสั่งให้ทำงาน แล้วลูกน้องทำไม่ได้สมความที่เจ้านายต้องการ แบบนี้เรียกว่าไม่ร่วมมือหรือเปล่าครับ
ถ้าเราดูดีๆ มันอาจจะเกิดสถานการณ์ได้หลายอย่าง เช่น ลูกน้องพยายามไม่ร่วมมือจริงๆ งานก็เลยล้มเหลวหรือสำเร็จเพียงแค่ครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็คงต้องไปสืบสาวราวเรื่องกันต่อว่าทำไมลูกน้องจึงเกิดอาการต่อต้านและไม่ร่วมมือ
แต่ผลงานที่ออกมาว่าล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จเพียงส่วนเดียวนั้น จะเกิดจากคำว่า “ไม่ร่วมมือ” ไปเสียทั้งหมดจริงหรือเปล่า
คำตอบชัดๆ ก็คือ ไม่จริงเสมอไปครับ
หัวหน้างานจำนวนไม่น้อยเลยที่มักจะปักใจกับคำนี้ และพอมีปัญหาทีไรก็มักจะพูดหรือบ่นในทำนองที่ว่า ลูกน้องไม่ให้ความร่วมมือ ทำให้งานไม่เป็นไปตามที่คาดหวังหวัง ซึ่งการปักใจแบบนี้ ทำให้แก้ปัญหาได้ยาก
หากอยากจะแก้ปัญหา ต้องเอาตัวเองออกมาจากการปักใจเรื่องไม่ร่วมมือก่อน แล้วอาจจะได้เห็นอุปสรรคหลายอย่าง
เคยมีผู้ศึกษาวิจัยไว้ว่า ในหลายๆ กรณี งานที่สั่งการลงไปไม่สำเร็จเพราะ “ความกลัว”
ใช่แล้วครับ “กลัว”
ลูกน้องจำนวนมากทีเดียวครับ โดยเฉพาะในสังคมเอเชีย สังคมไทย ที่มีอาการกลัวหัวหน้า และอาการกลัวนี้ทำให้เวลารับคำสั่งก็เกิดอาการเกร็งตามมา เวลาฟังอะไรก็ไม่ชัดเจน นึกแต่หวั่นวิตก พอไปทำงานจริงๆ ก็เครียด กังวลแบบผิดๆ ถูกๆ แล้วพองานล้มเหลวก็ถูกดุ ถูกว่า อาการกลัวก็วนเวียนกลับมาใหม่อีก กลายเป็นวัฏจักรที่ผมเชื่อว่าลึกๆ แล้ว ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น
ทำไมลูกน้องโดยเฉพาะคนเอเชียหรือคนไทยมักจะกลัวหัวหน้า
มีหลายปัจจัยครับ สังคมของเราเป็นสังคมที่สอนกันมาให้เคารพผู้ใหญ่ เคารพอาวุโส คุณวุฒิ วัยวุฒิ ซึ่งเป็นเรื่องดีงามตามวัฒนธรรม แต่ความเคารพ ความเกรงใจนั้น จะต้องไม่ทำให้แปรเปลี่ยนเป็นความกลัว มิฉะนั้นจะทำงานลำบาก
ในสังคมของเรา เมื่อเริ่มแรกเด็กเข้าโรงเรียนก็มีการสอนการถ่ายทอดทัศนคติในเรื่องเด็กนักเรียนกลัวครู ต่อมากลัวพ่อแม่ และตามมาด้วยกลัวเจ้านาย
ในขณะที่ทางเจ้านายนั้น มีหลายคนที่คิดแต่การใช้พระเดช ใช้อำนาจ ถือตนว่าใหญ่กว่า ก็แสดงอำนาจอย่างเต็มที่ เมื่อบวกกันเข้าทั้งสองทางแล้ว ลูกน้องเลยกลัวนายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การที่ลูกน้องกลัวนายนั้น นอกจากปัจจัยหลักๆ ที่มาจากวัฒนธรรมของเราแล้ว ยังมาจากเหตุผลอื่นๆ อีก เช่น ลูกน้องมีความรู้สึกไม่มั่นคง เป็นคนไม่มั่นใจในตัวเอง เป็นคนขี้กังวล เจ้านายเป็นคนโมโหง่าย หน้าตาเคร่งเครียด ฯลฯ
หลายๆ อย่างรวมกันเข้า ก็หล่อหลอมเป็นความกลัว และเมื่อไหร่ที่เกิดการทำงานด้วยความกลัว ก็จะทำให้เกิดความสำเร็จได้ยาก เพราะผู้ปฏิบัติงานจะกังวลกับทุกสิ่งทุกอย่าง จะหยิบจะจับอะไรก็เกร็งไปหมด และด้วยอาการแบบนี้เอง ที่ทำให้หัวหน้างานตีความไปเองว่าลูกน้องช่างไม่ให้ความร่วมมือเอาเสียเลย “ระยะห่าง” ระหว่างเจ้านายกับลูกน้องก็เลยยิ่งห่างกันไปใหญ่
ในองค์กรระดับเอสเอ็มอีนั้น เราจะพบว่ามีทั้งเจ้านายและลูกน้องที่สนิทสนมกลมเกลียว เพราะทำงานกันแบบเสมือนครอบครัวเล็กๆ หรือในทางกลับกัน ก็มีผู้ประกอบการที่แม้จะเหมือนครอบครัวเล็ก แต่ก็เป็นครอบครัวที่หัวหน้าครอบครัวเคร่งเครียด
องค์กรระดับใหญ่ก็เช่นเดียวกัน มีทั้งเจ้านายที่เดินยิ้มมาทำงาน ไปทางไหนก็มีท่าทีสบายๆ กับเจ้านายที่แค่ขับรถเข้ามาลูกน้องก็วิ่งกันลนลาน ความกลัวจึงเกิดได้ทั้งในองค์กรไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยแวดล้อมที่เราสร้างมันขึ้น
เราต้องหาความพอดีในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ายบริหารกับคนทำงานให้ได้ครับ
เจ้านายที่ดี ไม่ใช่เจ้านายที่เอาแต่เป็นกันเอง จนเล่นหัวกับลูกน้องได้ทุกระดับ แต่ก็จะต้องไม่ใช่เจ้านายที่เดินมาแล้วเหมือนยักษ์เหมือนมาร
แต่เจ้านายที่ดีจะต้องมีความนิ่งในระดับที่ทำให้ลูกน้องเกรงใจ แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีเวลาไต่ถามทุกข์สุข หรืออย่างน้อยก็ทักทายและแสดงความเป็นกันเอง
ในบางประเทศ เช่น ญี่ปุ่น หรือเกาหลีใต้ ซึ่งคนทำงานมักจะเคร่งเครียดนั้น มีบางองค์กรถึงกับจัดโปรแกรมสอนเพื่อให้ผู้บริหารได้รู้จักการผ่อนคลาย และใช้อารมณ์ขัน
อารมณ์ขันนี่แหละครับ ที่จะเป็นตัวช่วยสำคัญในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเจ้านายกับลูกน้อง และลดความกลัวในจิตใจลงได้ เช่น หากจะสั่งงานสำคัญ แน่นอนว่าลูกน้องก็ย่อมจะเกร็งไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้ว และหวาดกลัวว่าหากทำผิด ทำพลาด จะโดนลงโทษ โดนไล่ออก ฯลฯ สารพัดจะคิด ซึ่งในเวลาอย่างนี้นี่เอง ผู้บริหารที่เคยนิ่ง จะต้องสอดแทรกอารมณ์ขันอันเหมาะสม เพื่อให้ลูกน้องเกิดภาวะผ่อนคลาย เช่น “แหม...งานนี้ยากจังนะครับ ผมคิดว่าขนาดหนีเมียไปเที่ยวกลางคืนยังไม่ยากเท่านี้เลย ว่าแล้ว เรามาตั้งชื่อเล่นโครงการนี้ว่า โครงการหลบภรรยากันดีกว่า ฟังแล้วยากดี อ้อ...ล้อเล่นนะครับ ผมไม่เคยหนีเมียไปเที่ยวจริงๆ หรอก ผมเป็นพวกกลัวเมีย ฮ่า ฮ่า”
การสอดแทรกคำพูดทีเล่นทีจริงเข้าไปในจังหวะที่พอเหมาะ และทำให้ผ่อนคลาย บวกกับการที่ต้องบอกว่านี่ล้อเล่นนะ ก็จะทำให้การสั่งงานเป็นไปอย่างคลายกังวลมากขึ้น
แน่นอนว่าความวิตกในการทำงาน โดยเฉพาะถ้าเป็นงานยาก งานสำคัญ จะมีอยู่เสมอ แต่จะต้องให้ผู้ทำงานกังวลกับตัวเนื้องานเท่านั้น ไม่ใช่ต้องมากังวลหรือกลัวกับสายตาของเจ้านายด้วย
เพราะฉะนั้น หากเห็นความกลัวหรือความกังวลของลูกของแล้ว อย่าลืมงัดเรื่องนี้มาใช้ครับ “อารมณ์ขัน” แบบถูกที่ถูกจังหวะ สิ่งนี้คนไทยไม่ต้องเรียน เรามักจะมีกันอยู่แล้ว และต้องไม่ลืมที่จะหยิบมาใช้กันบ่อยๆ ความกลัวที่มีต่อกันก็จะลดลงได้ครับ


