คุณรู้จัก EFSF หรือยัง
สวัสดีครับทุกท่าน ผมเชื่อเหลือเกินว่าท่านที่เป็นนักลงทุนในขณะนี้คงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก
สวัสดีครับทุกท่าน ผมเชื่อเหลือเกินว่าท่านที่เป็นนักลงทุนในขณะนี้คงรู้สึกกังวลใจเป็นอย่างมาก
โดย..สุกิจ อุดมศิริกุล
เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงเร็วและแรงมาก SET Index ปรับตัวลดลงไปถึง 867 จุด หรือลดลงถึง 16% ภายในเวลาเพียง 3 วันเท่านั้น หากนับจากระดับปิดที่ 1,029.59 จุด ในวันที่ 21 ก.ย. 2554
ผมคิดว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากแล้ว ว่าทำไมตลาดหุ้นไทยถึงได้ตกแรงขนาดนั้น เพราะสิ่งเดียวที่นักลงทุนใช้ในการลงทุนในตลาดหุ้นขณะนี้คือ “ความกลัว”
หากพูดถึงความกลัว ผมคิดว่าในช่วงนี้นักลงทุนทั่วโลกมีระดับความกลัวเพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากการขายสินทรัพย์เกือบทุกประเภท ซึ่งไม่เว้นแม้แต่สินทรัพย์ที่เคยรู้สึกว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างเช่น ทองคำ ในทางตรงข้าม นักลงทุนหันกลับไปถือครองเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น สถานการณ์ดังกล่าวมีนัยว่าระดับความกลัวได้เพิ่มขึ้นถึงขั้นสูงสุดแล้ว เพราะเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าพื้นฐานของเงินเหรียญสหรัฐไม่ได้น่าจูงใจให้เข้าไปลงทุน ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย แต่สิ่งที่นักลงทุนมักจะหันไปถือเงินเหรียญสหรัฐ เพราะเป็นสกุลเงินที่มีสภาพคล่องมากที่สุด
ความต้องการเงินเหรียญสหรัฐส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐในสัปดาห์ที่ผ่านมาแข็งค่าขึ้นสุดในรอบ 8 เดือน โดย Dollar Index ปรับตัวขึ้นถึงระดับ 79 จุด อย่างไรก็ตามยังคงไม่ได้แข็งค่าขึ้นเท่ากับระดับ 90 จุด ซึ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2552 ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าระดับความกลัวยังไม่ได้รุนแรงเท่ากับปี 2552 เช่นกัน
ทั้งนี้ นักลงทุนอาจจะสามารถตีความได้ 2 นัย คือ 1) ความกลัวจะเพิ่มขึ้นได้อีก ในกรณีที่มองโลกในแง่ร้าย หรือ 2) ความรุนแรงของสถานการณ์ในรอบนี้ไม่ได้รุนแรงมาก ทำให้ความกลัวจึงเพิ่มขึ้นไม่มาก ในกรณีที่มองโลกในแง่ดี
โดยสรุป สำหรับภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงนี้ ยอมรับว่าเปราะบางและอ่อนไหวมากต่อปัจจัยลบ แต่ไม่ค่อยตอบสนองต่อปัจจัยบวกเท่าไหร่ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าตลาดหุ้นอยู่ในภาวะหมี (Bear Market) ทำให้โอกาสของการฟื้นตัวของตลาดคงจะยาก แต่ในช่วงไตรมาส 4 นั้น ผมยังไม่เปลี่ยนมุมมองโดยประเมินว่า ตลาดจะฟื้นตัวได้ บนสมมติฐานว่า 1) ไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และ 2) วิกฤตหนี้ในยุโรปจะผ่อนคลาย เนื่องจากมาตรการแก้ไขจะมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น
มาตรการที่เป็นรูปธรรมที่ผมพูดถึงนั้นจะขาด European Financial Stability Facility หรือ EFSF ไม่ได้ ดังนั้นบทความของผมในสัปดาห์นี้จึงอยากจะมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับ EFSF แบบง่ายๆ ให้ทุกท่านเข้าใจครับ
EFSF เป็นบริษัทจัดตั้งขึ้นโดยประเทศในยุโรป 16 ประเทศ ในวันที่ 9 พ.ค. 2553 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้กับประเทศในกลุ่มประเทศยูโร โดยการให้ความช่วยเหลือทางการเงินระยะสั้นกับประเทศที่ประสบปัญหาทางการเงิน ทั้งนี้แหล่งเงินทุนของ EFSF จะมาจากการระดมทุนในตลาดการเงินทั้งในรูปของพันธบัตรหรือตราสารทางการเงินอื่น โดยมี 16 ประเทศสมาชิกเป็นผู้ค้ำประกัน โดยเงินทุนรวมกัน 4.4 แสนล้านยูโร ทั้งนี้สมาชิก 3 อันดับแรก ได้แก่ เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี มีเงินทุนรวมกัน 65% ของกองทุนทั้งหมด
ผมประเมินว่า EFSF จะกลายเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขวิกฤตหนี้ในยุโรปที่เกิดขึ้นมาแล้ว 18 เดือน ซึ่งแน่นอนคงต้องใช้เวลา แต่จะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนกว่ามาตรการที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยลดความกังวลลงได้
สำหรับปัญหาของยุโรป สามารถแบ่งออกได้เป็น 1) ปัญหาหนี้ของกรีซ ซึ่งต้องการการปรับโครงสร้างหนี้ 2) ปัญหาในเรื่องต้นทุนในการระดมทุนของประเทศอย่างเช่น อิตาลีและสเปน และ 3) ทั้งสองปัญหาส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ไปเรียบร้อยแล้ว โดยเฉพาะธนาคารในฝรั่งเศส เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าพันธบัตรของประเทศที่มีปัญหาหนี้ที่ธนาคารถืออยู่จะด้อยค่าหรือผิดนัดชำระหนี้ ซึ่งทำให้ราคาหุ้นกลุ่มธนาคารในยุโรปลดลงมาแล้วประมาณ 50% จากระดับสูงสุดของปีนี้ ซึ่งทางแก้เดียวที่ทำได้ คือ ธนาคารต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น รวมถึงการเพิ่มทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน
ดังนั้น หากจะแก้ไขทั้งสามปัญหาให้เบ็ดเสร็จ จึงจำเป็นต้องมีสถาบันที่เข้ามาช่วยซึ่งได้แก่ EFSF จากนี้ไปผมอยากแนะนำให้นักลงทุนติดตามบทบาทของ EFSF อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในเดือน ต.ค. หลังจากที่รัฐสภาของทั้ง 16 ประเทศอนุมัติให้ EFSF สามารถเข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในตลาดรองและการเพิ่มทุนให้กับธนาคาร ซึ่งหาก EFSF สามารถทำหน้าที่ได้ก็จะเป็นข่าวบวกต่อตลาดหุ้นครับ
ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัวของผมเองน่ะครับ


