posttoday

ยูเนียนฟูดฯลุยปั้นแบรนด์ชิงตลาด 800 ล้าน

20 กันยายน 2554

ยูเนียนฟูดฯ ลุยปั้นแบรนด์น้ำมันงา “มังกรคู่” ชิงตลาด 800 ล้าน รับคู่แข่งทะลักหลังเปิดเออีซี หวั่นน้ำท่วมทำราคาวัตถุดิบพุ่งปีหน้า

ยูเนียนฟูดฯ ลุยปั้นแบรนด์น้ำมันงา “มังกรคู่” ชิงตลาด 800 ล้าน รับคู่แข่งทะลักหลังเปิดเออีซี หวั่นน้ำท่วมทำราคาวัตถุดิบพุ่งปีหน้า

น.ส.อนันดา หวังวณิชกุล กรรมการผู้จัดการ ยูเนียนฟูดอินดัสตรี ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำมันงา ตรา “มังกรคู่” เปิดเผยว่า บริษัทจะมุ่งสร้างแบรนด์น้ำมันงา ตรา “มังกรคู่” ให้เป็นที่รู้จักในผู้บริโภคคนไทย หลังจากทำตลาดมา 36 ปี เพื่อรองรับการแข่งขันหลังเปิดเสรีการค้าในกลุ่มประเทศอาเซียน (เออีซี) ซึ่งขณะนี้เริ่มมีคู่แข่งเข้ามาทำตลาดมากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย ไม่ต่ำกว่า 10 ราย

ทั้งนี้ บริษัทถือส่วนแบ่งเป็นอันดับ 1 ในตลาดน้ำมันงา มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% จากตลาดผลิตภัณฑ์น้ำมันพืชมูลค่า 8,000 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทจะเน้นจำหน่ายผลิตภัณฑ์ให้กับภาคอุตสาหกรรมเป็นหลัก เพิ่งขยายสู่ผู้บริโภคทั่วไปเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา และทำตลาดอย่างจริงจังในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยขยายช่องทางจำหน่ายสู่ห้างค้าปลีกสมัยใหม่ เช่น ท็อป ซูเปอร์มาร์เก็ต, โลตัส, วิลล่า มาร์เก็ต, ฟู้ดแลนด์ เป็นต้น

สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายรวม 300 ล้านบาท เป็นสัดส่วนยอดขายจากภาคอุตสาหกรรม 60% ร้านอาหาร, ภัตตาคาร 20% และห้างค้าปลีกสมัยใหม่ 20% โดยช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายเพิ่มขึ้น 20% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะในช่องทางของร้านอาหารและภัตตาคาร ตามการขยายตัวของธุรกิจร้านอาหารเกาหลี, ญี่ปุ่นในประเทศไทย คาดว่าถึงสิ้นปีจะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 400 ล้านบาท

“ปัจจัยที่น่าเป็นห่วง คือราคาวัตถุดิบในปีหน้า ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10-20% เนื่องจากเกิดภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ปีนี้ ซึ่ง 4 ปีก่อนหน้านี้ วัตถุดิบเคยขาดแคลนอย่างมาก ทำให้งามีราคาเพิ่มขึ้นถึง 100 บาทต่อกิโลกรัม ขณะที่ปัจจุบันราคาอยู่ที่ 40 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งบริษัทกำลังเร่งเจรจาซื้อวัตดุดิบล่วงหน้าจากหลายแหล่งผลิตในปีนี้ เพื่อทำให้ต้นทุนไม่สูงขึ้นมากในปีต่อไป” น.ส.อนันดากล่าว

สำหรับบริษัท ยูเนียนฟูดอินดัสตรี มีโรงงานผลิต 2 แห่ง ได้แก่ โรงงานผลิตที่จ.นครปฐม ประเทศไทย และเมื่อฟูโจว ประเทศจีน ซึ่งผลิตเพื่อส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก โดยโรงงานที่ประเทศจีน จะเน้นผลิตซอสพริกและเต้าเจี้ยว ซึ่งกำลังทดลองเพิ่มการผลิตซอสพริกในประเทศไทย โดย 2 ปีที่ผ่านมาใช้งบลงทุนขยายโรงงานที่ประเทศไทยไปกว่า 50 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและทดลองผลิตสินค้าชนิดใหม่ เช่น ซอสพริก เป็นต้น


ปัจจุบัน สัดส่วนยอดขายจากตลาดส่งออกคิดเป็นสัดส่วน 50% แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากวิกฤติในสหรัฐอเมริกา ทำให้ยอดส่งออกลดลง รวมทั้งค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐ ทำให้บริษัทต้องหันมาเน้นทำตลาดในประเทศมากขึ้น

ข่าวล่าสุด

ประเสริฐยันจบด้วยดี “ไชยา” ลาเพื่อไทยเหตุจำเป็นการเมือง