‘ทาทา’ปิดโรงถลุงมินิบลาสต์
เลิกแบกต้นทุนวัตถุดิบพุ่งปรี๊ด
เลิกแบกต้นทุนวัตถุดิบพุ่งปรี๊ดยันเป้ายอดขาย-รายได้ไม่ลด
ทาทา สตีล ปิดเตาถลุงเหล็กคุณภาพสูง หลังต้นทุนผลิต “สินแร่เชื้อเพลิง” พุ่งไม่หยุด เชื่อไม่กระทบเป้ายอดขายรายได้ปีนี้
นายลาภทวี เสนะวงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทาทา สตีล (ประเทศไทย) หรือ TSTH เปิดเผยว่า บริษัทจะหยุดการผลิตชั่วคราวของโครงการเตาถลุงมินิ บลาสต์ เฟอร์เนซ (Mini Blast Furnace : BMF) ซึ่งเป็นของบริษัท เอ็น.ที.เอส สตีล กรุ๊ป บริษัทย่อยของทาทา สตีล ตั้งแต่ปลายเดือน ส.ค.นี้ จนถึงเดือน มี.ค. 2555 รวมระยะเวลา 7 เดือน สาเหตุจากความผันผวนของราคาวัตถุดิบในตลาดโลก
ช่วงการหยุดโครงการ BMF นี้ ทาทา สตีล ยังคงผลิตเหล็กแท่งโดยเตาหลอม Electric Arc Furnace (EAF) และผลิตสินค้าสำเร็จรูปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังสามารถตอบสนองความต้องการของตลาดได้อยู่ ตลอดจนสามารถรักษาสถานะผู้นำตลาดเหล็กทรงยาวในประเทศไทยได้ด้วย
ทั้งนี้ บริษัทจะติดตามราคาวัตถุดิบอย่างใกล้ชิด และคาดว่าจะกลับมาทำการผลิตจากโครงการ MBF เมื่อความผันผวนของราคาวัตถุดิบกลับเข้าสู่เกณฑ์ปกติ
แหล่งข่าวจากทาทา สตีล เปิดเผยว่า เตาถลุง BMF เป็นเตาสำหรับเหล็กคุณภาพสูง ซึ่งใช้สินแร่เหล็กเป็นวัตถุดิบในการผลิตเพื่อให้ได้น้ำเหล็ก จากนั้นนำน้ำเหล็กมาปรุงให้ได้คุณภาพตามที่ต้องการ ก่อนหล่อออกมาเป็นเหล็กแท่งนำไปรีดตามขนาดที่ต้องการ ซึ่งเหล็กที่ผลิตได้จากเตา BMF นี้ จะเป็นเหล็กเกรดคุณภาพสูง เช่น ลวดเชื่อม สปริง
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การปิดเตาหลอม BMF มีสาเหตุหลักจากสินแร่เหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบมีราคาสูงขึ้นมาก จาก 70 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในปี 2549 ปัจจุบันขึ้นมาเกือบ 200 เหรียญสหรัฐ/ตัน และถ่านโค้ก ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงสำหรับผลิต ราคาเพิ่มขึ้นสูงมากเช่นกัน จาก 100 เหรียญสหรัฐ/ตัน ปัจจุบันอยู่ที่ 450 เหรียญสหรัฐ/ตัน
“โครงการ BMF เป็นเตาหลอมขนาดเล็ก มีกำลังผลิต 5 แสนตัน/ปี ซึ่งเป็นเตาแรกของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ โครงการนี้ทาทาฯ ทำขึ้นมามี 2 วัตถุประสงค์ คือ บาลานซ์ไม่พึ่งวัตถุดิบตัวใดตัวหนึ่ง และการผลิตเหล็กคุณภาพสูงจากแร่เหล็ก ภาระต้นทุนที่สูงมากไม่สามารถแข่งขันได้ ส่วนจะหยุดชั่วคราวหรือไม่ ต้องดูที่ราคาวัตถุดิบเป็นหลัก” แหล่งข่าวเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การหยุดโครงการ MBF จะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้ายอดขายและรายได้ปี 2554-2555 เนื่องจากสามารถใช้เศษเหล็กเป็นวัตถุดิบทดแทน ซึ่งใช้กระบวนการผลิตมากขึ้น เพื่อได้คุณภาพที่ใกล้เคียงกัน โดยเป้ายอดขายอยู่ที่ 1.2 ล้านตัน รายได้ 2.6 หมื่นล้านบาท


