มิตซูฯหวังอีโคคาร์ดันแสนคัน

มิตซูบิชิ หวังขายอีโคคาร์ 2,000-3,000 คันต่อเดือน ดันยอดขายปี 2555 ทะลุ 1 แสนคัน หลังปีนี้ปรับเป้า 7 หมื่นคัน

นายโนบุยูกิ มูราฮาชิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า โครงการรถยนต์อีโคคาร์ของบริษัทยังเดินหน้าอย่างราบรื่นตามแผนงานที่วางไว้ และคาดว่าหลังการเปิดตัวในเดือน มี.ค. 2555 จะมียอดจำหน่ายที่ระดับ 2,000-3,000 คันต่อเดือน ช่วยผลักดันให้ยอดจำหน่ายรถยนต์มิตซูบิชิทะลุ 1 แสนคันในปี 2555

มิตซูบิชิไอที่คาดว่าเป็นต้นแบบอีโคคาร์

สำหรับเป้าหมายการจำหน่ายรถยนต์ในปีนี้ บริษัทได้ทำการปรับเป้าจำหน่ายครั้งที่ 2 เพิ่มขึ้นเป็น 7 หมื่นคัน เป็นผลมาจากการที่รถยนต์มิตซูบิชิได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี และบริษัทแม่สนับสนุนเรื่องการจัดหาชิ้นส่วนในช่วงสึนามิ ทำให้บริษัทมียอดจำหน่ายมากกว่า 6,000 คัน นับตั้งแต่ เม.ย.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ คาดว่าตลาดรถยนต์รวมของประเทศไทยจะสามารถเติบโตได้ถึง 9-9.1 แสนคันในปีนี้ เป็นผลมาจากราคาพืชผลทางการเกษตรที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี และภาพรวมของเศรษฐกิจยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของบริษัท ก็ยังสามารถทำยอดจำหน่ายได้ดีทั้งในส่วนของไทรทัน ปาเจโรสปอร์ต และแลนเซอร์ อีเอ็กซ์ รวมถึงรถยนต์พลังงานธรรมชาติอย่างซีเอ็นจี

นอกจากนี้ บริษัทยังเดินหน้าขยายโชว์รูมและศูนย์บริการเพิ่มจากที่มีอยู่ 151 แห่งในปัจจุบัน จะเพิ่มเป็น 165 แห่งภายใน 6 เดือนนับจากนี้ และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 200 แห่งภายใน 18 เดือนข้างหน้า เพื่อรองรับยอดขายระดับ 1 แสนคันต่อปี รวมถึงอยู่ระหว่างการปรับการบริการให้เป็นที่พึงพอใจของลูกค้ามากยิ่งขึ้นในปัจจุบัน

โรงงานผลิตรถยนต์ทั้งสองแห่งของมิตซูบิชิในปัจจุบันเดินสายการผลิตที่กว่า 2.4 แสนคันในปีนี้ จากกำลังการผลิตจริง 2 แสนคัน ซึ่งการเดินสายการผลิตที่มากกว่ากำลังการผลิตจริง 20% บริษัทต้องปรับสัดส่วนการผลิตสำหรับตลาดในประเทศและตลาดส่งออกให้มีความเหมาะสม หลังจากที่ตลาดในประเทศปีนี้เติบโต 70% จากปีที่ผ่านมา และตั้งเป้าหมายจะขยายตัวเพิ่มอีก 50% ในปีหน้า

นายมูราฮาชิ กล่าวถึงมาตรการลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทให้ประชาชน ว่าจะส่งผลกระทบให้เกิดการชะลอการซื้อของลูกค้าในช่วงที่นโยบายยังไม่มีความชัดเจน จึงอยากให้รัฐบาลเดินหน้าสร้างความชัดเจนกับนโยบายดังกล่าว เพื่อลูกค้าจะได้ไม่สับสนและตัดสินใจซื้อรถต่อไปเช่นเดิม

“ผมเชื่อว่าอาจจะส่งผลกระทบได้ในช่วงที่ทุกอย่างยังไม่ได้ประกาศออกมา แต่ที่น่าเป็นห่วงก็คือแนวโน้มดอกเบี้ยที่ปรับตัวขึ้นสูงในปัจจุบัน หากในท้ายที่สุดรัฐบาลไม่มีนโยบายที่ชัดเจน ผู้ที่ได้รับผลกระทบก็คือผู้บริโภคที่ต้องซื้อรถยนต์ในราคาที่แพงขึ้น เรื่องนี้จึงอยากให้รัฐบาลรีบตัดสินใจ” นายมูราฮาชิ กล่าว