ประชามติควบคู่เลือกตั้ง69 เสี่ยงปัญหาMOU43-44 ไทย-กัมพูชา
แนวคิดจัดประชามติ 4 ประเด็นพร้อมการเลือกตั้งใหญ่ 2569 ส่อปัญหาความสับสนทางบัตรเลือกตั้ง ภาระข้อมูลที่ประชาชนไม่พร้อม และข้อถกเถียงทางกฎหมายกรณียกเลิก MOU ไทย–กัมพูชา อาจสะเทือนทั้งการเมืองและความมั่นคง
KEY
POINTS
- การลงคะแนน 4 ใบเสี่ยงสร้างความสับสนและผิดพลาดในคูหาเลือกตั้ง
- ประชามติ MOU ไทย–กัมพูชา เป็นเรื่องอ่อนไหวและประชาชนอาจขาดข้อมูลเพียงพอ
- ข้อถกเถียงทางกฎหมายยกเลิก MOU สร้างความไม่แน่นอนด้านการต่างประเทศ
บริบท-แนวคิดประชามติควบคู่เลือกตั้ง
แนวคิดของรัฐบาลและฝ่ายการเมืองที่เสนอให้จัดประชามติควบคู่กับการเลือกตั้งใหญ่ปี 2569 กลายเป็นประเด็นร้อน เพราะหากยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 และเลือกตั้งวันที่ 29 มีนาคม 2569 ประชาชนผู้มีสิทธิ์จะต้องใช้บัตรถึง 4 ใบ ได้แก่
(1) เลือกตั้ง ส.ส. เขต
(2) เลือกตั้ง ส.ส. บัญชีรายชื่อ
(3) ประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
และ (4) ประชามติยกเลิก MOU ไทย–กัมพูชา
บริบทดังกล่าวทำให้เกิดความกังวลว่า จะเป็นครั้งแรกที่ประชาชนต้องรับผิดชอบต่อการตัดสินใจหลายประเด็นซ้อนกันภายในการเข้าคูหาเดียว ความท้าทายจึงอยู่ที่การสื่อสาร ทำความเข้าใจ และระบบจัดการเลือกตั้งที่ต้องพร้อมในทุกมิติ ทั้งด้านกฎหมาย กกต. และความเข้าใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
ปัญหาความสับสนและการโยนภาระสู่ประชาชน
1. ความสับสนของผู้ลงคะแนน (Voter Confusion)
การมีบัตรถึง 4 ใบพร้อมกันเสี่ยงให้ผู้ลงคะแนน “กาผิด” หรือทำบัตรเสียได้ง่าย เช่น ตั้งใจจะเลือกผู้สมัคร ส.ส. เขต แต่เผลอทำเครื่องหมายในบัตรประชามติ MOU แทน การออกแบบบัตร การให้ความรู้ และระบบนับคะแนนจึงกลายเป็นความท้าทายเชิงเทคนิคอย่างมาก
2. ภาระการตัดสินใจของประชาชนในประเด็นอ่อนไหว
ประเด็น MOU ไทย–กัมพูชา ไม่ใช่เรื่องทั่วไป แต่เป็นเรื่องซับซ้อน มีข้อมูลความมั่นคงจำนวนมากที่ไม่สามารถเปิดเผยต่อสาธารณะ รังสิมันต์ โรม ในฐานะประธานกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ ระบุชัดว่า ข้อมูลจำนวนหนึ่งจำเป็นต้องประชุมลับในสภา ขณะที่รัฐมนตรีต่างประเทศอย่างนายสีหศักดิ์ก็แสดงความกังวลว่าประชาชนไม่มีความรู้รอบด้านมากพอที่จะตัดสินใจ
การผลักภาระเช่นนี้จึงถูกวิจารณ์ว่าเป็นการ “โยนลูก” ให้ประชาชน ทั้งที่ประเด็นเกี่ยวพันกับความมั่นคงและการทูต ซึ่งปกติเป็นหน้าที่ของรัฐบาลและรัฐสภา
ข้อถกเถียงทางกฎหมายการยกเลิก MOU
ประเด็นใหญ่ที่สุดอยู่ที่ข้อถกเถียงทางกฎหมายระหว่างประเทศ เพราะ MOU ทั้งสองฉบับ (ปี 2543 และ 2544) ไม่มีข้อกำหนดเรื่องการยกเลิกไว้เลย จึงเกิดการตีความสองแนวทางสำคัญ
- ยกเลิกฝ่ายเดียวได้ – มองว่า MOU ไม่ใช่สนธิสัญญาเพราะไม่ได้ผ่านรัฐสภา ครม. สามารถยกเลิกได้ทันที
- ต้องได้รับความยินยอมจากกัมพูชา – มองว่า MOU คือข้อตกลงระหว่างรัฐที่มีผลผูกพัน การยกเลิกต้องเจรจาและได้รับความยินยอมจากอีกฝ่าย
นักการทูตบางราย เช่น นายรัศม์ ชาลีจันทร์ เห็นว่า MOU เป็นเพียงกรอบเจรจา ไม่ได้ทำให้ไทยเสียดินแดน หากยกเลิกไป ไทยอาจกลับไปตั้งต้นเจรจาใหม่ และยังเท่ากับปลดพันธกรณีให้กัมพูชาโดยไม่จำเป็น
ความไม่ชัดเจนทางกฎหมายนี้ทำให้การทำประชามติอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้จริง แต่กลับสร้างความสับสนในระดับนโยบายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
MOU ไทย–กัมพูชา กับผลสะเทือนการเมืองและความมั่นคง
MOU ที่ถูกเสนอให้ทำประชามติเพื่อยกเลิกมี 2 ฉบับสำคัญ
- MOU 2543 (ปี 2000): ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก อ้างอิงสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศสปี 1904
- MOU 2544 (ปี 2001): ว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล 2,600 ตารางกิโลเมตร เพื่อความร่วมมือด้านปิโตรเลียม
หากยกเลิกจริง อาจทำให้ไทยต้องเข้าสู่การเจรจาที่เสียเปรียบ หรือเสี่ยงไปถึงการฟ้องร้องในศาลโลก ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเสถียรภาพระหว่างประเทศ ขณะเดียวกัน ฝ่ายการเมืองที่ผลักดันประชามติอาจถูกมองว่ามีวาระซ่อนเร้นเพื่อหาเสียง มากกว่าจะคำนึงถึงผลประโยชน์ชาติ
ท่าทีของรัฐบาลปัจจุบันยังไม่ชัดเจน แม้นายกรัฐมนตรีบางคนเคยกล่าวว่าควรยกเลิก แต่ก็เปิดทางให้คณะกรรมาธิการศึกษาโดยละเอียด และสงวนสิทธิ์ที่จะไม่ทำประชามติหากเห็นว่าไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศ


