รัฐบาลอนุทินแข่งกับเวลา เดินเกมเศรษฐกิจ–มั่นคง ชี้ชะตาเลือกตั้ง69
รัฐบาลอนุทินมีเวลาเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา และรวม 8 เดือนในฐานะรักษาการ มุ่งเน้นสองภารกิจหลักคือการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ปัญหาความมั่นคงชายแดน เพื่อสร้างผลงานทันตาและต่อยอดคะแนนนิยมก่อนศึกเลือกตั้งใหญ่ปี 2569
KEY
POINTS
- กรอบเวลา 4 เดือน + รักษาการ 8 เดือน: รัฐบาลมีเส้นตายชัดเจน ต้องรีบสร้างผลงานที่จับต้องได้
- มาตรการเศรษฐกิจเร่งด่วน: “คนละครึ่งพลัส” และงบฉุกเฉิน 1 แสนล้านบาท หวังเร่งฟื้นกำลังซื้อ
- ความมั่นคงชายแดนกัมพูชา: ท่าทีแข็งกร้าว–เสริมกองทัพ ใช้เป็นจุดสร้างความเชื่อมั่น
- เดิมพันการเมือง: หากผลงานเด่น จะเป็นฐานคะแนนสำคัญของพรรคภูมิใจไทยสู่เลือกตั้ง 69
กรอบเวลาและสถานะของรัฐบาล
รัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน ชาญวีรกูล เปิดเกมการเมืองด้วยการกำหนดเส้นตายชัดเจนว่าจะยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 นับหนึ่งการทำงานอย่างเป็นทางการตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2568 ซึ่งนับถอยหลังได้เพียง 4 เดือนในการผลักดันนโยบายเร่งด่วนก่อนเข้าสู่ช่วงรักษาการ
แม้เมื่อยุบสภาแล้ว รัฐบาลยังคงทำหน้าที่รักษาการต่อไปตามกฎหมายจนกว่าจะมีการเลือกตั้งและตั้งรัฐบาลใหม่ คาดว่าประมาณปลายเดือนมีนาคม 2569 ประเทศไทยจะเข้าสู่การเลือกตั้งทั่วไป และรัฐบาลชุดนี้จะอยู่ในตำแหน่งรวมถึงช่วงรักษาการราว 8 เดือน
แม้จะถูกจำกัดด้วยสถานะ “รักษาการ” แต่ตามรัฐธรรมนูญยังคงสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ในกรอบเดิม ยกเว้นโครงการใหม่หรือการใช้งบประมาณที่เพิ่งตั้งขึ้น ภารกิจหลักในช่วงเวลาจำกัดจึงกลายเป็นการเร่งสร้างผลงานที่ประชาชนเห็นได้ทันที
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ (4 เดือนแรก)
เศรษฐกิจไทยถูกเปรียบเสมือน “รถติดหล่ม” ที่ต้องอัดแรงเพื่อดึงให้เคลื่อนต่อ รัฐบาลจึงวางยุทธศาสตร์ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งด่วน โดยมีวงเงินไม่น้อยกว่า 100,000 ล้านบาท ผ่านงบสำรองฉุกเฉินและการโยกย้ายงบประมาณ
ไฮไลต์สำคัญคือโครงการ “คนละครึ่งพลัส” ที่ปรับให้เหมาะกับกลุ่มประชาชนต่างกัน
- สำหรับกลุ่มนอกระบบภาษี รัฐช่วย 50% ประชาชนจ่าย 50%
- สำหรับผู้เสียภาษี รัฐช่วย 60% ประชาชนจ่าย 40%
เม็ดเงินหมุนเวียนคาดว่าจะทะลุแสนล้านบาท โดยล็อตแรกเริ่มในช่วงปลายตุลาคม 2568 โครงการนี้ไม่เพียงช่วยเสริมกำลังซื้อ แต่ยังเป็นการต่อยอด ระบบเศรษฐกิจดิจิทัล ผ่านแอป “เป๋าตัง” ซึ่งมีศักยภาพขยายเป็น ตลาดกลางสินค้าเกษตร (Marketplace) ในอนาคต
นอกจากนั้นยังมีมาตรการ สลากเกษียณรูปแบบใหม่ ที่คืนเงินต้นบางส่วน เพื่อกระตุ้นการออมระยะยาว, การคืนภาษีท่องเที่ยว 2 เท่า เพื่อดึงคนออกเดินทางช่วงปลายปี และการ คืนเงิน 36,000 ล้านบาทให้ ธ.ก.ส. เพื่อเคลียร์หนี้คงค้าง ถือเป็นสัญญาณ “ความกล้าทางการคลัง” ของรัฐบาล
ทั้งหมดนี้เป็นความพยายามสร้างผลลัพธ์ที่ประชาชนสัมผัสได้ในเวลาอันสั้น พร้อมเชื่อมโยงไปสู่เป้าหมายทางการเมือง คือการเสริมภาพลักษณ์รัฐบาลที่ “กล้าลงมือ” และ “ตอบสนองทันที”
ความมั่นคงและปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชา
อีกหนึ่งสนามที่รัฐบาลอนุทินให้ความสำคัญคือความมั่นคง โดยเฉพาะปัญหาชายแดนไทย–กัมพูชาที่กลับมาตึงเครียด ฝ่ายกัมพูชามีการเคลื่อนกำลังทหารและยุทโธปกรณ์เข้าพื้นที่พิพาทอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเด็นนี้กลายเป็นทั้งภัยคุกคามและโอกาสทางการเมือง
ท่าทีแข็งกร้าวของนายกรัฐมนตรี ประกาศปกป้องอธิปไตยและนำดินแดนที่สูญเสียกลับคืน ได้รับเสียงสนับสนุนจากสังคม และช่วยเสริมคะแนนนิยมให้พรรคภูมิใจไทย
ในทางปฏิบัติ กองทัพไทยภายใต้ผู้บัญชาการเหล่าทัพชุดใหม่ได้เข้ามารับภารกิจอย่างต่อเนื่อง มีการตรึงกำลังหน่วยรบพิเศษร่วมกับ ตชด. จัดทำแผนสแกนระยะยิงขีปนาวุธ กำหนด Safety Zone สำหรับประชาชน และฝึกซ้อมสกัดโดรน ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือทางยุทธศาสตร์ของกัมพูชา
ที่สำคัญยังมีแนวคิด สร้างรั้วหรือกำแพงถาวรในจุดเสี่ยง ตามแนวชายแดน เพื่อแสดงความจริงจังของรัฐบาลต่อการปกป้องดินแดน หากเดินหน้าเป็นรูปธรรมจะไม่เพียงบรรเทาความเสี่ยงด้านความมั่นคง แต่ยังสร้างภาพลักษณ์ “ผู้นำที่กล้าหาญ” ให้แก่นายกรัฐมนตรี
ประเด็นอื่นๆและเดิมพันทางการเมือง
นอกเหนือจากสองภารกิจหลัก ยังมีประเด็นเสริมที่อาจส่งผลต่อเสถียรภาพและภาพลักษณ์รัฐบาล เช่น การที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) เร่งปราบปรามแก๊ง Scammer ที่เชื่อมโยงกับกัมพูชา แม้รัฐมนตรีกำลังเผชิญข้อครหากรณีเงิน 40 ล้านบาทก็ตาม
ในทางการเมือง การเร่งเดินหน้ามาตรการเศรษฐกิจและการแสดงท่าทีแข็งกร้าวด้านความมั่นคง ย่อมส่งผลต่อคะแนนนิยมโดยตรง โดยเฉพาะต่อฐานเสียงของพรรคภูมิใจไทยและตัวนายอนุทินเอง ซึ่งกำลังต้องการปักหมุด “ความเป็นผู้นำ” ก่อนการเลือกตั้งใหญ่ปี 2569
รัฐบาลอนุทินจึงกำลังเดินบนเส้นทางที่คับขัน ใช้เวลาจำกัดเพียง 4 เดือนก่อนยุบสภา และอีกไม่กี่เดือนในสถานะรักษาการ เพื่อสร้างผลงานที่เป็นทั้ง มาตรการตอบโจทย์ประชาชน และ กลยุทธ์ตุนคะแนนทางการเมือง หากสำเร็จจะเป็นการปูทางสู่ชัยชนะครั้งใหญ่ แต่หากล้มเหลว ก็อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของสมรภูมิการเมืองไทย


