ค่าโฆษณากับภาษี...ใช้บริการเอเจนซี่อย่างไรให้คุ้มค่าและถูกกฎหมาย
จ่ายค่าโฆษณาผ่านเอเจนซี่ ลดหย่อนภาษีได้ไหม? เก็บใบกำกับภาษีให้ครบถ้วน และมั่นใจว่าค่าใช้จ่ายสมเหตุสมผล ถูกกฎหมาย เพื่อใช้เป็นเครื่องมือบริหารจัดการภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ
ในยุคดิจิทัลที่ทุกธุรกิจต่างแข่งขันกันเพื่อแย่งชิงความสนใจจากผู้บริโภค “การทำโฆษณาออนไลน์” จึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้าของกิจการจำนวนมากเลือกใช้บริการเอเจนซี่การตลาด เพราะช่วยทั้งวางกลยุทธ์ ออกแบบคอนเทนต์ และจัดการยิงโฆษณาให้ครบวงจร แต่เมื่อพูดถึงค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ หลายคนกลับมีคำถามว่า
เงินที่จ่ายให้เอเจนซี่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้หรือไม่
คำถามนี้ถือว่าสำคัญอย่างยิ่ง เพราะการวางแผนภาษีอย่างถูกต้องจะช่วยให้ธุรกิจมีเงินหมุนเวียนมากขึ้น ลดความเสี่ยงจากการถูกตรวจสอบ และยังสะท้อนถึงความโปร่งใสในการทำงานอีกด้วย ดังนั้นผู้อ่านจึงต้องทำความเข้าใจเงื่อนไขและข้อควรระวังเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายโฆษณาผ่านเอเจนซี่ โดยสามารถอธิบายได้ดังนี้
ค่าโฆษณานับเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจ
ตามกฎหมายภาษี รายจ่ายใดก็ตามที่มีความเกี่ยวข้องกับการประกอบกิจการและใช้เพื่อสร้างรายได้ สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายได้ ดังนั้นค่าโฆษณาที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะซื้อสื่อเองโดยตรงหรือใช้บริการเอเจนซี่ ล้วนเข้าข่ายค่าใช้จ่ายธุรกิจทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามหากต้องการนำไปใช้หักภาษีได้จริงเจ้าของกิจการต้องมีเอกสารยืนยันครบถ้วน เช่น ใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ใบเสร็จรับเงิน หรือหลักฐานการชำระเงินที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ตามกฎหมาย
ทำงานผ่านเอเจนซี่ มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
โดยทั่วไปเมื่อบริษัททำโฆษณาผ่านเอเจนซี่ ค่าใช้จ่ายจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่
- ค่าบริการของเอเจนซี่ เช่น การคิดแผนกลยุทธ์ การออกแบบภาพและวิดีโอ การทำคอนเทนต์ หรือการดูแลแคมเปญออนไลน์
- ค่าโฆษณาบนแพลตฟอร์ม อย่างเช่น ค่า Facebook Ads, Google Ads หรือ TikTok Ads ซึ่งบางครั้งเอเจนซี่จะเป็นผู้สำรองจ่ายก่อน แล้วนำเอกสารมาเรียกเก็บกับลูกค้า
ถ้าเอเจนซี่ออกเอกสารอย่างถูกต้อง มีรายละเอียดค่าใช้จ่ายแยกชัดเจนเจ้าของธุรกิจก็สามารถนำทั้งค่าบริการและค่าโฆษณาเหล่านี้มาลงเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อลดหย่อนภาษีได้
เงื่อนไขที่ควรใส่ใจ
แม้ค่าโฆษณาผ่านเอเจนซี่จะใช้เป็นค่าใช้จ่ายได้ แต่ก็มีเงื่อนไขที่ผู้ประกอบการต้องระวัง สามารถอธิบายได้ดังนี้
- เอกสารที่ใช้มีความถูกต้อง จำเป็นต้องเก็บใบกำกับภาษี ใบเสร็จ หรือสัญญาจ้างงาน เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบ
- ค่าใช้จ่ายต้องสมเหตุสมผล หากตัวเลขค่าโฆษณาไม่สัมพันธ์กับรายได้ หรือไม่สามารถอธิบายได้ว่าเกี่ยวข้องกับกิจการจริง สรรพากรอาจไม่ยอมรับ
- เลือกเอเจนซี่ที่ถูกกฎหมาย เอเจนซี่ควรเป็นนิติบุคคลหรือบุคคลที่มีเลขประจำตัวผู้เสียภาษี และสามารถออกเอกสารภาษีได้ครบถ้วน
ตัวอย่างสถานการณ์จริง
สมมติว่าบริษัทหนึ่งว่าจ้างเอเจนซี่มาดูแลการตลาดออนไลน์ โดยมีค่าใช้จ่ายดังนี้
- ค่าบริการคิดกลยุทธ์และออกแบบคอนเทนต์ 60,000 บาท
- ค่าโฆษณาบน Facebook และ Google รวม 140,000 บาท
เอเจนซี่ออกใบกำกับภาษีถูกต้อง รวม 200,000 บาท พร้อมภาษีมูลค่าเพิ่ม 14,000 บาท ในกรณีนี้ บริษัทสามารถนำ 200,000 บาท ลงเป็นค่าใช้จ่าย และนำภาษีซื้อ 14,000 บาท ไปใช้เครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มได้อีกด้วย
ทำไมต้องบันทึกค่าใช้จ่ายให้ถูกต้อง
การจัดการเอกสารโฆษณาอย่างเป็นระบบไม่ได้ช่วยเพียงแค่เรื่องภาษี แต่ยังสะท้อนถึงความน่าเชื่อถือของธุรกิจ หากวันหนึ่งบริษัทต้องการขอสินเชื่อจากธนาคารทำงบการเงินเพื่อหานักลงทุน หรือถูกตรวจสอบโดยสรรพากร การมีเอกสารยืนยันชัดเจนจะทำให้ธุรกิจผ่านขั้นตอนเหล่านี้ได้อย่างราบรื่น
กล่าวโดยสรุป ค่าโฆษณาที่จ่ายผ่านเอเจนซี่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้จริง หากมีหลักฐานเอกสารถูกต้องและสมเหตุสมผล เจ้าของกิจการจึงควรเลือกทำงานกับเอเจนซี่ที่น่าเชื่อถือ และจัดเก็บเอกสารประกอบอย่างครบถ้วน หรือพูดอีกอย่างหนึ่งค่าใช้จ่ายด้านการตลาดไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการภาษี หากใช้ให้ถูกวิธีธุรกิจจะได้ประโยชน์ทั้งด้านการเงินและภาพลักษณ์ในระยะยาว
อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่ Inflow Accounting


