หนี้เสียเอสเอ็มอีพุ่งพรวด
ธนาคารทหารไทย คาดเอ็นพีแอลเอสเอ็มอีพุ่งสูงสุดสิ้นปีนี้ เหตุกำลังซื้อยังไม่กระเตื้อง
ธนาคารทหารไทย คาดเอ็นพีแอลเอสเอ็มอีพุ่งสูงสุดสิ้นปีนี้ เหตุกำลังซื้อยังไม่กระเตื้อง
นายเบญจรงค์ สุวรรณคีรี หัวหน้านักวิเคราะห์ ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจ ธนาคารทหารไทย เปิดเผยว่า กำลังซื้อและการบริโภคยังไม่ดี ซึ่งมีผลกับธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) โดยตรง ถือเป็นความเสี่ยงที่ส่งผล กระทบต่อเอสเอสเอ็มอีไปจนถึงสิ้นปี 2560 จากเดิมประเมินว่าความเสี่ยงจะสิ้นสุดในครึ่งปีแรก
ทั้งนี้ คาดว่าจะทำให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ของลูกค้าเอสเอ็มอี อาจจะปรับขึ้นไปสูงสุด 4.6-4.7% ของเอ็นพีแอลรวมในสิ้นปีนี้ ซึ่งเป็นระดับสูงสุดจากระดับ 4.4% ในไตรมาสแรก แต่คิดว่าน่าจะไม่ถึง 5% เพราะสถาบันการเงินมีการดูแลความเสี่ยงและระมัด ระวังการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ส่งผลให้สินเชื่อกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีในปีนี้จึงอาจขยายตัวได้ไม่มาก แม้ว่าเอสเอ็มอีจะมีความต้องการสินเชื่ออยู่ก็ตาม แต่การ มีเครื่องมือจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อมค้ำประกันช่วย ลดข้อจำกัดเรื่องสภาพคล่องได้บ้าง
"ปี 2561 เอ็นพีแอลจะเริ่มทยอยลดลงเมื่อการบริโภคภาคเอกชนฟื้นตัวขึ้นจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น โดยวัฏจักร เอ็นพีแอลปกติจะอยู่ประมาณ 2 ปี แต่รอบนี้เกิด 2 วัฏจักรต่อเนื่องกัน คือ เอ็นพีแอลของรายย่อยในกลุ่มเช่าซื้อเกิดตั้งแต่ปี 2556 พอกลุ่มนี้เริ่มดีขึ้น ปัญหาเอ็นพีแอลในกลุ่มเอสเอ็มอีก็เข้ามาต่อเป็นลูกโซ่" นายเบญจรงค์ กล่าว
นายเบญจรงค์ กล่าวว่า สำหรับผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นเอสเอ็มอีในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่า ความเชื่อมั่นด้านรายได้และด้านต้นทุนยังไม่ดีขึ้น ทั้งในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 39.6 จาก 40.6 และในอนาคต 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ 48.8 ทรงตัวจาก 49.4 ในไตรมาสก่อน เนื่องโดยช่องว่างของดัชนีปัจจุบันและอนาคตแคบลงอย่างต่อเนื่อง สะท้อนแนวโน้มความเชื่อมั่นที่ลดลง
สำหรับปัจจัยกังวล 3 อันดับแรก คือ ด้านภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อ รองลงมาด้านสภาพคล่องและด้านขาดแคลนแรงงาน โดยเฉพาะในด้านแรงงานที่มีความกังวลเพิ่มขึ้น จากไตรมาสแรกที่มีการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจาก 222-273 บาท เป็น 300-310 บาท ตามด้วยในไตรมาส 2 ประกาศ พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าว เกิดภาวะขาดแคลนแรงงานฉับพลัน จากกรณีแรงงานเดินทางกลับประเทศ ผลักให้ต้นทุนแรงงานสูงขึ้นเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามเอสเอ็มอีที่เป็นนิติ บุคคล มีระดับความเชื่อมั่นด้านรายได้มากกว่าเอสเอ็มอีที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งเป็นผลมาจากความสามารถบริหารจัดการที่ดีกว่าแม้ต้นทุนใกล้เคียงกัน
"เอสเอ็มอีที่เป็นบุคคลธรรมดา ควรบริหารกิจการแบบนิติบุคคล ซึ่ง การจัดการที่ดีได้ประโยชน์อย่างน้อย 4 ด้าน คือสร้างรายได้และลดค่าใช้จ่ายมีประสิทธิภาพ สร้างความน่าเชื่อถือแก่ธุรกิจให้คู่ค้าเห็น เข้าถึงแหล่งเงินทุนง่ายขึ้น และได้ประโยชน์จากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล" นายเบญจรงค์ กล่าว
นายเบญจรงค์ กล่าวว่า ธนาคารเตรียมปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศจากเดิม 3.3% โดยประมาณการใหม่อยู่ในกรอบ 3.3-3.7% มีแนวโน้มปรับเพิ่มตัวเลขส่งออกจาก 3.7% เป็น 4-5%