posttoday

นกแอร์ฝัน2ปีมีกำไร"พาที"อยู่ต่อ

20 เมษายน 2560

ผู้ถือหุ้นไฟเขียวนกแอร์เพิ่มทุน ย้ำต่อผู้ถือหุ้น 2 ปีกลับมามีกำไร "พาที สารสิน" นั่งซีอีโอต่อดึงทีมบริหาร "การบินไทย" เสริมทัพ

ผู้ถือหุ้นไฟเขียวนกแอร์เพิ่มทุน ย้ำต่อผู้ถือหุ้น 2 ปีกลับมามีกำไร "พาที สารสิน" นั่งซีอีโอต่อดึงทีมบริหาร "การบินไทย" เสริมทัพ

นายสมใจนึก เองตระกูล ประธานกรรมการ บริษัท สายการบินนกแอร์ (NOK) กล่าวในที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2560 ว่า ภายในช่วง 2 ปีข้างหน้านี้ บริษัทจะมีผลประกอบการพลิกกลับมามีกำไรและสามารถจ่ายเงินให้กับผู้ถือหุ้นได้ หลังจากที่ขาดทุนต่อเนื่องมา 3 ปี ระหว่างปี 2557-2559 ทั้งนี้มีแผนจะเพิ่มการใช้เครื่องบินเฉลี่ยเพิ่มเป็นประมาณ 11 ชม./ลำ/วัน จากปี 2559 ที่ประมาณ 8 ชม./ลำ/วัน ทั้งนี้ ณ สิ้นปี 2559 ที่มีจำนวนฝูงบิน 32 ลำ

สำหรับปัญหาการขาดแคลนนักบินในปี 2559 ส่งผลให้ไม่สามารถใช้เครื่องบินได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ บริษัทได้แก้ปัญหาเสร็จและจะส่งคืนนักบินต่างชาติที่มีค่าจ้างที่สูงกลับในเดือน มิ.ย. 2560 นี้ ส่งผลให้มีต้นทุนค่าจ้างนักบินลดลง อีกทั้งบริษัทยังได้นักบินจากบริษัท การบินไทย (THAI) บางส่วนที่ลาออกมาทำงานกับบริษัท รวมถึงจะมีนักบินของการบินไทยจำนวนมากที่เกษียณการทำงานมาร่วมงานกับบริษัทด้วย

นอกจากนี้ ขอยืนยันว่า นาย พาที สารสิน จะยังดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และบริหารธุรกิจของบริษัทต่อไป แต่จะมีทีมบริหารของการบินไทยเข้ามาทำงานกับบริษัทเพื่อเสริมทีมบริหารด้วย

ด้านประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นกแอร์ กล่าวว่า จะใช้ระยะเวลาไม่นานเพื่อนำบริษัทกลับมามีผลประกอบการที่มีกำไรจากแผนธุรกิจที่ทำไว้ และในเดือน มิ.ย.นี้จะเห็นต้นทุนของบริษัทลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

นายวิสิฐ ตันติสุนทร กรรมการอิสระ นกแอร์ กล่าวว่า เงินที่ได้ จากการเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิม (RO) จำนวนไม่เกิน 625 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 2.40 บาท ได้เงินประมาณ 1,500 ล้านบาท ยอมรับว่า ในระยะ 3 ปีข้างหน้านับว่า ยังไม่มากและเพียงพอในการดำเนินธุรกิจซึ่งอาจต้องกู้หรือเพิ่มทุนอีก ในอนาคต เนื่องจากบริษัทมีแผนจะใช้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้ สร้างขยายเครือข่ายในต่างประเทศตามแผนและกลยุทธ์ธุรกิจระยะยาวที่วางนโยบายต้องการเป็นสาย การบินต้นทุนต่ำระดับภูมิภาคซึ่งมีเส้นการบินออกไปในต่างประเทศ ที่ใช้ระยะเวลาเดินทางประมาณ 2-3 ชม.

ทั้งนี้ ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นมีมติเห็นคะแนนเสียงเห็นด้วยจำนวน 434.32 ล้านเสียง หรือสัดส่วน 99.99% ของผู้ถือหุ้นที่เข้าประชุมและมีสิทธิออกเสียง อนุมัติการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีกจำนวน 781.25 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียนเดิม ที่ 625 ล้านบาท เป็นทุนจดทะเบียนใหม่จำนวน 1,406.25 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 781.25 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ หุ้นละ 1 บาท