posttoday

รถปลั๊กอินขายกระฉูด

21 พฤศจิกายน 2560

เบนซ์ชี้เทรนด์คนซื้อรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด เพิ่มจำนวนมากขึ้น ดันยอดขาย 10 เดือน โต 20% คาดปีหน้ายังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เบนซ์ชี้เทรนด์คนซื้อรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด เพิ่มจำนวนมากขึ้น ดันยอดขาย 10 เดือน โต 20% คาดปีหน้ายังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

นายไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าในปีนี้จะทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ ส่วนในปี 2561 การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ทั้งในเรื่องของรถยนต์ไฟฟ้าและระบบอัตโนมัติต่างๆ ทำให้บริษัทมีแนวโน้มที่จะเติบโตมากขึ้น จากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า

นอกจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญในการทำตลาดแบรนด์รถยนต์ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนิชมาร์เก็ต หรือ ในกลุ่มดรีมคาร์มากยิ่งขึ้น ล่าสุดได้เปิดตัวรถยนต์ภายใต้แบรนด์ เมอร์เซเดส- เอเอ็มจี 2 รุ่น ได้แก่ เมอร์เซเดส- เอเอ็มจี จีที อาร์ และเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที ซี เข้ามาเพิ่มในกลุ่มรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงระดับพรีเมียมให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

นายฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด บริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับยอดขายของบริษัทถึงเดือน ต.ค.มีจำนวน 1.1 หมื่นคัน เติบโตขึ้น 19-20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นรถในกลุ่มคอมเท็ม โพรารี ลักซ์ชัวรี่ ประมาณ 50% รถในกลุ่มคอมแพกต์ 20% รถเอสยูวี 20% และดรีมคาร์อีกประมาณ 10%

ขณะเดียวกัน รถภายใต้แบรนด์ EQ (Electric Intelligence by MercedesBenz) ซึ่งเป็นรถยนต์ไฟฟ้าในกลุ่มปลั๊กอิน ไฮบริด ก็มียอดขายที่สูงขึ้นจากต้นปีมีสัดส่วนประมาณ 30-40% เพิ่มเป็น 50% ของยอดขายรวมในช่วง 3 เดือนหลัง เนื่องจากบริษัทได้นำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามานำเสนอให้กับลูกค้า และเชื่อว่าตลาดในเซ็กเมนต์ดังกล่าวจะมีโอกาสเติบโตได้อีก

สำหรับรถในตลาดนิช ซึ่งเป็นกลุ่มดรีมคาร์ เป็นลูกค้าที่มีความชื่นชอบแบบเฉพาะกลุ่ม การที่บริษัทให้ความสำคัญกับเมอร์เซเดส-เอเอ็มจี เนื่องจากที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตของยอดขายรถในกลุ่มนี้สูงถึง 50% จากการที่บริษัทนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้น รวมถึงอัตราภาษีใหม่ที่จูงใจ และยังมีโอกาสที่เพิ่มสัดส่วนตลาดของรถในกลุ่มนี้ได้อีก โดย เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที อาร์ มีราคาเริ่มต้นที่ 17.4 ล้านบาท และ เมอร์เซเดส-เอเอ็มจี จีที ซี ราคาเริ่มต้นที่ 16.8 ล้านบาท