posttoday

รถยนต์ไฟฟ้าพุ่ง56ล้านคันใน20ปีจากปัจจุบัน2ล้านคัน

04 มิถุนายน 2562

รถยนต์ไฟฟ้าโตก้าวกระโดด คาด 20 ปีข้างหน้า รถใหม่ 57% จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แนะไทยปรับตัวรักษาเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์

รถยนต์ไฟฟ้าโตก้าวกระโดด คาด 20 ปีข้างหน้า รถใหม่ 57% จะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า แนะไทยปรับตัวรักษาเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์

งานวิจัยของ BloombergNEF (BNEF) คาดการณ์ว่ารถยนต์ไฟฟ้า หรือ EVs (Electric Vehicles) กำลังเดินหน้าสู่การเป็นเจ้าตลาดรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถบัสภายในปี 2583 หรืออีกประมาณ 20 ปีข้างหน้า โดยรถยนต์ไฟฟ้าจะครองตลาด 57% ของยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลภายในปี 2583 และคาดว่ารถบัสไฟฟ้าจะได้ส่วนแบ่งตลาด 81% ของรถบัสที่ใช้ในเมืองในระยะเวลาเดียวกัน

การสำรวจพบว่า ผู้บริโภครถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของโลกใน 2 ทศวรรษข้างหน้า คือ ตลาดรถยนต์เชิงพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็กในยุโรป อเมริกาและจีน

รถยนต์ไฟฟ้าพุ่ง56ล้านคันใน20ปีจากปัจจุบัน2ล้านคัน

นายโคลิน แม็คเคอราเชอร์ หัวหน้าแผนกยานยนต์ล้ำหน้าของ BNEF กล่าวว่า รถยนต์นั่งส่วนบุคคลรุ่นธรรมดาในตลาดโลกได้เลยจุดสูงสุดมาแล้ว ในอนาคตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันจะลดลง และแทนที่รถยนต์ไฟฟ้า โดยในปี 2558 รถรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้ในโลก 1 ล้านคัน หลังจากนั้น 15 เดือน เพิ่มเป็น 2 ล้านคัน และอีก 1 ปี เพิ่มเป็น 3 ล้านคัน และล่าสุดไม่ถึง 1 ปี ล่าสุดในปี 2561 มีรถยต์ไฟฟ้าถึง 5 ล้านคัน แสดงให้เห็นรถยนต์ไฟฟ้ามีการขยายตัวรวดเร็วเพิ่มขึ้นอย่างมาก

รถยนต์ไฟฟ้าพุ่ง56ล้านคันใน20ปีจากปัจจุบัน2ล้านคัน

นายอาลี อิซาดี้-นาจาฟาบาดี้ หัวหน้าหลักในการวิเคราะห์การแบ่งปันยานพาหนะร่วมกัน (shared mobility) ของ BNEF กล่าวว่า ตัวขับเคลื่อนหลักสำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในช่วง 20 ปีข้างหน้าคือราคาที่ลดลงอย่างมากของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเป็นผลให้นับจากช่วงกลางหรือปลายปี 2563 เป็นต้นไปนั้นรถยนต์ไฟฟ้าจะมีราคาถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายใน (ICE) ในแทบทุกตลาด ทั้งด้านค่าใช้จ่ายตลอดอายุการใช้งานและค่าใช้จ่ายเฉพาะหน้า

นับตั้งแต่ปีพ.ศ 2554 เป็นต้นมาต้นทุนเฉลี่ยของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนต่อกิโลวัตต์ชั่วโมงลดลงถึง 85% เนื่องจากการประหยัดต้นทุนการผลิตจากขนาด (economy of scale) ผสมกับการพัฒนาเทคโนโลยี

ทั้งนี้ BNEF คาดว่ายอดขายของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นจาก 2 ล้านคันทั่วโลกใน 2561 เป็น 28 ล้านคันในปี 2573 และ 56 ล้านคันในปี 2583 ในขณะที่ยอดขายรถยนต์นั่งส่วนบุคคลแบบดั้งเดิมจะลดลงเหลือ 42 ล้านคันในปี 2583 จากประมาณ 85 ล้านคันในปี 2561

นอกจากนี้ คาดว่านโยบายสนับสนุน อาทิกฏเกณฑ์ด้านอัตราการเผาผลาญเชื้อเพลิงต่อระยะทาง และนโยบายใหม่ของจีนด้านพลังงานสำหรับรถยนต์จะผลักดันการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในอีก 5-7 ปีข้างหน้าก่อนที่จะเติบโตได้เองช่วงครึ่งหลังของช่วงทศวรรษระหว่างปี 2563 - 2572

ความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า ทำให้อุตสาหกรรมน้ำมัน ไฟฟ้า และแบตเตอรี่จะได้รับผลกระทบ โดยในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา BNEF ได้ประเมินผลกระทบด้านความต้องการเชื้อเพลิงบนถนนอยู่ที่ 7.3 ล้านบาร์เรลต่อวันภายในปี 2583 จาก 13.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในปัจจุบัน

ทั้งนี้เจ้าหน้าที่ของ BNEF ทั้งสองระบุว่า ความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้า กระทบกับอุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไทยทั้งระบบ ที่ต้องปรับตัวรองรับการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า เพราะไทยเป็นฐานการผลผลิตรถยนต์เชิงพาณิชย์ใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก

อย่างไรก็ตาม BNEF มองว่า รถยนต์ไฟฟ้าส่วนบุคคลในประเทศไทยยังขยายตัวได้ยาก เนื่องจากรถยนต์มีราคาแพง ที่ชาร์จไฟฟ้ามีจำกัด การเดินทางได้ระยะทางไม่ไกล แต่คาดว่าในประเทศไทยระยนต์ไฟฟ้าน่าจะเป็นที่นิยมในรถมอเตอร์ไซค์ รถตุ๊กๆ รถแท็กซี่ และเมล์ประจำทาง มากกว่า