posttoday

'เวสป้า' ลุยบริการหลังการขาย หั่นราคาอะไหล่-เพิ่มรับประกัน

30 มิถุนายน 2561

เวสปิอาริโอฯ จับเข่าคุยบริษัทแม่ เดินหน้าลุยบริการหลังการขาย หั่นราคาอะไหล่-เพิ่มรับประกัน ดันยอดโต 20%

โดย...พลพัต สาเลยยกานนท์

นับตั้งแต่ลงสู่ตลาดในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2553 จนกระทั่งถึงปัจจุบัน บริษัท เวสปิอาริโอ (ประเทศไทย) มียอดขายสะสมรวมอยู่ที่ราว 6.5 หมื่นคัน ถือได้ว่าเป็นการสร้างสีสันและเปิดตลาดใหม่ให้กับตลาดรถจักรยานยนต์ในประเทศไทยอีกครั้งในกลุ่มสกูตเตอร์ระดับพรีเมียม

พรนฎา เตชะไพบูลย์ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท เวสปิอาริโอ (ประเทศไทย) ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถสกูตเตอร์พรีเมียมแบรนด์ "พิอาจิโอ" และ "เวสป้า" กล่าวว่า หลังจากที่ได้พูดคุยกับบริษัทแม่มาเป็นเวลานานในการลดจุดด้อยของแบรนด์ยุโรปในเรื่องต้นทุนการเป็นเจ้าของ (Cost of Ownership) รวมถึงค่าบำรุงรักษา ที่เป็นจุดหนึ่งในการตัดสินใจของผู้บริโภค

ทั้งนี้ ล่าสุดได้ข้อสรุปอย่างเป็นทางการภายหลังทำงานร่วมกันในการส่งแคมเปญบริการหลังการขาย "V FOR U" ซึ่งประกอบไปด้วย 1.V CARE ให้ลูกค้าสามารถเข้ารับบริการตรวจ เช็กสภาพรถได้ฟรี 10 รายการ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค.-15 ต.ค. 2561 2.V SAVE ลดราคาค่าอะไหล่ลงสูงสุด 25% และ 3.V HAPPY ขยายระยะเวลารับประกันคุณภาพผลิตภัณฑ์ทุกรุ่นเป็น 3 ปี หรือ 3 หมื่น กม. จากเดิมรับประกันคุณภาพ 2 ปี หรือ 2 หมื่น กม. ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. 2561 เป็นต้นไป ซึ่งอาจส่งผลให้มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,000 บาท/คัน

แผนงานดังกล่าว เพื่อเป็นการสร้างความพึงพอใจและมั่นใจสูงสุดให้กับผู้บริโภคในเรื่องมาตรฐานการให้บริการของเวสป้า พร้อมกันนี้ยังเชื่อว่าจะเป็นแรงขับเคลื่อนส่วนหนึ่งในการผลักดันยอดขายให้เติบโตขึ้นได้อีกปัจจัยหนึ่ง นอกเหนือจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ลงสู่ตลาด

สำหรับบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายปี 2561 ไว้ที่ 1.85 หมื่นคัน หรือเติบโตขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดย 5 เดือนแรกของปีบริษัทมียอดขายอยู่ที่ 7,504 คัน เติบโตขึ้น 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่สวนทางกับภาพรวมตลาดรถจักรยานยนต์โดยรวมในช่วงเวลาเดียวกันอยู่ที่ 755,041 คัน ลดลง 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ขณะเดียวกันมองว่าปัจจัยที่ส่งผลให้ตลาดชะลอตัวมาจากอัตราหนี้ ครัวเรือนที่ยังสูงอยู่ ประกอบกับภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศไทยโดยเฉพาะการกระจายเม็ดเงินลงสู่เศรษฐกิจฐานรากอาจจะยังไม่เห็นผลชัดเจน ขณะที่ปัจจัยการเติบโตของบริษัทมาจากการแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ลงสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถครอบคลุมความต้องการ ของผู้บริโภคในกลุ่มพรีเมียมได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการส่งแคมเปญดังกล่าวมาเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับ ผู้บริโภคและผลักดันยอดขาย แต่สภาวะตลาดที่ชะลอตัวยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ดังนั้นเชื่อว่าแคมเปญดังกล่าวจะช่วยให้บริษัทเติบโตได้ท่าม กลางสถาวะตลาดชะลอตัว

ด้านตลาดรถจักรยานยนต์ในกลุ่มพรีเมียม (ราคา 5 หมื่นบาทขึ้นไป) ซึ่งเป็นตลาดที่บริษัทมีผลิตภัณฑ์ทำการตลาดอยู่นั้นมีตัวเลขรวมในปี 2560 อยู่ที่ 736,639 คัน หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 40% ของตลาดรวม 1.81 ล้านคัน ในปีที่ผ่านมา โดยบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 2% ของตลาดดังกล่าว

นอกจากนี้ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดรถสกูตเตอร์พรีเมียมมีการเปลี่ยนไปแปลงอย่างมาก เนื่องจากผู้บริโภคให้การตอบรับตลาดที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเทรนด์ของรถจักรยานยนต์เกียร์อัตโนมัติ (เอที) เริ่มกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง รวมถึงรถจักรยานยนต์ระดับราคาที่อยู่ในตลาดระดับ 8.5 หมื่นบาท

ในอดีตที่ผ่านมาโดยเฉพาะสกูตเตอร์พรีเมียมนั้นมีให้เลือกในตลาดไม่มาก แต่ปัจจุบันรถจักรยานยนต์ในระดับราคานี้มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนความต้องการของตลาดและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ตอบรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียม

"มองว่าตลาดรถจักรยานยนต์พรีเมียมในปีนี้อาจไม่โตมากนัก เพราะในตลาดมีทางเลือกที่หลากหลาย ซึ่งมองว่าอาจเป็นการสลับเซ็กเมนต์มากกว่า แต่อย่างไรก็ตามที่ตลาดรถจักรยานยนต์พรีเมียมมีสัดส่วน 40% ของตลาดในปี 2560 ก็เพิ่มขึ้นมาจากปี 2559 อยู่ที่ 38%" พรนฎา กล่าว

ขณะที่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทปัจจุบันมี 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่ 1.เวสป้า พรีมาเวร่า 2.เวสป้า สปริ๊นท์ และ 3.เวสป้า จีทีเอส ซึ่งมีการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์ที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนตั้งแต่เครื่องยนต์ขนาด 111-399 ซีซี

พรนฎา กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ 2 รุ่นด้วยกัน ได้แก่ เวสป้า พรีมาเวร่า และเวสป้า สปริ๊นท์ ให้มีสีสันและความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น ราคาเริ่มต้นที่ 1.05-1.28 แสนบาท เพื่อกระตุ้นตลาดและผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้

นอกจากนั้น ยังมีแผนการขยายศูนย์จำหน่ายและบริการเพิ่มขึ้น 10 แห่ง จากปัจจุบันมีจำนวน 80 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้ภายในสิ้นปีนี้จะมีศูนย์จำหน่ายและบริการเพิ่มขึ้นเป็น 90 แห่ง ครอบคลุมพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โดยทั้งปีนี้คาดว่าจะใช้งบประมาณทางการตลาดรวม 100 ล้านบาท

ในส่วนของแผนการตั้งโรงงานประกอบในประเทศไทยยังไม่มีอยู่ในแผนธุรกิจของบริษัท ปัจจุบันมีการนำเข้าจากประเทศเวียดนามซึ่งได้สิทธิประโยชน์ทางภาษี และมองว่ายังสามารถแข่งขันได้ เพียงแค่ต้องบริหารจัดการการสั่งซื้อและสต๊อกสินค้าให้ดีเท่านั้น