รถ'อีวี'ทยอยหั่นราคา แนะเพิ่มแผนจูงใจผู้ใช้

บีเอ็นอีเอฟ ชี้เทรนด์แบตเตอรี่ ราคารถอีวีปรับลด ดันยอดทั่วโลกแตะ 30 ล้านคัน ปี 2573 แนะไทยเพิ่มสิทธิประโยชน์กระตุ้นผู้ใช้

นายโคลิน แมคเคอร์ราเชอร์ หัวหน้าทีมนักวิเคราะห์การเดินทางขนส่งที่ ล้ำหน้า บลูมเบิร์ก นิว เอเนอร์จี้ ไฟแนนซ์ (บีเอ็นอีเอฟ) เปิดเผยว่า แนวโน้มราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ที่ปรับตัวลงต่อเนื่อง จากปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยมีฐานผลิตที่สำคัญในเอเชียจะเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ราคารถอีวีลงไปเท่าราคารถเครื่องยนต์สันดาปภายในปี 2567 และทำให้ความต้องการใช้รถอีวีเพิ่ม โดยจีนจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงมีส่วนแบ่งกว่า 50% ปี 2568

ทั้งนี้ สัญญาณการขยายตัวชัดเจนขึ้น โดยคาดว่าในปีนี้ยอดขายรถอีวีทั่วโลกอยู่ที่ 1.6 ล้านคัน และเพิ่มเป็น 30 ล้านคัน ในปี 2573 ซึ่งผู้ผลิตรถยนต์จะมุ่งกลยุทธ์ในตลาดรถอีวีและแบตเตอรี่ โดยรถรุ่นใหม่กว่า 50% จะกลายเป็นรถอีวี

นอกจากนั้น รถบัสพลังงานไฟฟ้าจะมียอดขายดีกว่ารถยนต์ส่วนบุคคล ซึ่งจะสนับสนุนให้เกิดความต้องการของแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นกว่า 25 เท่า โดยรถอีวีจะช่วยทดแทนการใช้น้ำมันเฉลี่ยวันละ 7 ล้านบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ช่วง 5 ปีข้างหน้า ยังมีความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลน ธาตุโคบอลต์ โดยนำมาใช้ผลิตแบตเตอรี่ ซึ่งอาจชะลอการลดลงของต้นทุนแบตเตอรี่ โดยหลายบริษัทอยู่ระหว่างค้นหาเทคโนโลยีใหม่ เพื่อมาทดแทน รวมถึงการเพิ่มโครงสร้างพื้นฐานของสถานีชาร์จไฟฟ้าให้ขยายตัวมากขึ้น

สำหรับสัญญาณการปรับใช้รถอีวีในไทยเริ่มนำร่องในรถจักรยานยนต์ รถสามล้อและรถบัส แม้การกระตุ้นให้เกิดการใช้ทั่วประเทศยังเป็นความท้าทายที่สำคัญ แต่ด้วยนโยบายการส่งเสริมที่ชัดเจนของภาครัฐ จะส่งผลดีระยะยาวที่จะช่วยกระตุ้นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในไทย

ขณะเดียวกัน ภาครัฐควรออกสิทธิประโยชน์รูปแบบอื่นที่ไม่ใช่เม็ดเงิน เพื่อกระตุ้นคนไทยใช้รถอีวีมากขึ้น อาทิ สิทธิพิเศษในการจอดรถ การใช้เลนรถบัส การลดหย่อนค่าใช้บริการอื่นๆ เช่นเดียวกับนอร์เวย์ ซึ่งจะช่วยดึงดูดก้าวเข้าสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้า

ภาพประกอบข่าว