posttoday

‘100’วันแรก‘ทรัมป์’ นโยบายขายฝันไปไม่ถึงครึ่ง

28 เมษายน 2560

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะทำงานครบรอบ 100 วัน ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ในวันที่ 29 เม.ย.ที่จะถึงนี้

โดย...ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะทำงานครบรอบ 100 วัน ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ในวันที่ 29 เม.ย.ที่จะถึงนี้ โดยทรัมป์เปิดเผยแผนการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น แต่แผนการดังกล่าวยังคงเต็มไปด้วยคำถาม เนื่องจากขาดรายละเอียดในส่วนที่สำคัญโดยเฉพาะการจัดการกับงบประมาณขาดดุล

สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยแผนปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน รวมถึงทำให้ระบบภาษีมีความซับซ้อนน้อยลง

แผนการณ์ดังกล่าวประกอบไปด้วยภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา โดยปรับลดภาษีรายได้สุทธิจาก 7 ช่วง ระหว่าง 10-39.6% เหลือ 3 ช่วง ได้แก่ 10% 25% และ 35% ส่วนสำหรับภาคธุรกิจ ทรัมป์จะลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 15% และเสนอจะใช้ระบบภาษีที่เก็บในเขตแดน ซึ่งจะเก็บภาษีเฉพาะรายได้ที่อยู่ในสหรัฐและไม่นับรายได้จากต่างประเทศ โดยรายได้จากต่างแดนของบริษัทใหญ่นั้น มนูชินเสนอจะเก็บภาษีในรูปแบบครั้งเดียวจบแต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

มนูชิน เปิดเผยว่า รัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวให้ได้มากกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ปี 2005 หลังเศรษฐกิจสหรัฐโตอยู่ที่ราว 2% นับตั้งแต่เศรษฐกิจถดถอยช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008-2009 โดยการปรับลดภาษีจะช่วยกระตุ้นให้ภาคธุรกิจลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร และยังช่วยให้เอกชนสหรัฐไม่ออกไปดำเนินกิจการนอกประเทศที่มีอัตราภาษีถูกกว่า

อย่างไรก็ตาม แผนปฏิรูปภาษีดังกล่าวยังขาดรายละเอียด โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเรื่องการขาดดุลงบประมาณที่พรรครีพับลิกันพยายามที่จะทำให้ปรับตัวลดลง โดย อลัน โคล นักเศรษฐศาสตร์ของแท็กซ์ ฟาวน์เดชั่น คาดการณ์ว่าการปรับลดภาษีนิติบุคคลเพียงอย่างเดียว จะทำให้รัฐบาลขาดรายได้ไปถึงราว 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 70 ล้านล้านบาท) ในอีก 10 ปีข้างหน้า หากคิดบนสมมติฐานว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวมากถึง 2.8% ต่อปี

นอกจากนี้ แม้การปรับลดภาษีของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัว แต่ อีธาน แฮร์ริส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยตามให้สอดคล้องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นตามเศรษฐกิจ โดยการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวจะไปชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจในท้ายที่สุด

‘ชัตดาวน์’ ยังตามหลอน

แม้ทรัมป์จะถอนงบประมาณสำหรับสร้างกำแพงตามแนวชายแดนเม็กซิโกไปแล้ว แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดการชัตดาวน์ยังคงอยู่ โดยภาวะดังกล่าวคือการที่รัฐบาลระงับจ่ายงบให้หน่วยงานต่างๆ เนื่องจากรัฐสภายังไม่สามารถผ่านงบประมาณสำหรับตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย.-30 ก.ย. ภายในสัปดาห์นี้ หลังทั้งสองพรรคยังตกลงกันไม่ได้ในหลายส่วน เช่น งบประมาณการสร้างกำแพงและงบประมาณประกันสุขภาพโอบามาแคร์

พรรครีพับลิกันจึงหาทางออกด้วยการพยายามขยายเวลาการเจรจางบประมาณดังกล่าวให้มากขึ้น โดยประกาศจะเปิดลงมติงบประมาณระยะสั้นเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งช่วยให้หน่วยงานรัฐยังคงทำงานไปได้จนถึงวันที่ 5 พ.ค.ที่จะถึงนี้ โดยทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาคาดจะผ่านงบประมาณระยะสั้นดังกล่าวในร่างงบประมาณระยะสั้นครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายตามระบบประกันสุขภาพโอบามาแคร์ ซึ่งช่วยจ่ายบางส่วนของประกันสุขภาพให้กับประชาชน โดยงบประมาณสำหรับการประกันสุขภาพเป็นหนึ่งในประเด็นที่สองพรรคใหญ่ของสหรัฐทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตเห็นไม่ตรงกัน เช่นเดียวกับงบประมาณสำหรับสร้างกำแพงของทรัมป์

สงครามการค้าระอุ

นับตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีมาได้ 99 วัน ประเทศคู่ค้าต่างจับตาสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งพิเศษให้สอบสวน 16 ประเทศคู่ค้าที่มีการค้าเกินดุลกับสหรัฐ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย และยังสั่งให้กระทรวงพาณิชย์ไปสอบสวนสินค้านำเข้าเป็นรายชนิดว่ากระทบกับความมั่นคงของสหรัฐหรือไม่

ล่าสุด วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐ รับคำสั่งจากทรัมป์ให้เปิดสอบสวนอะลูมิเนียมความบริสุทธิ์สูง ที่สหรัฐนำเข้ามาเพื่อสร้างยานยนต์ทางการทหาร เช่น เครื่องบินทหารและยานพาหนะหุ้มเกราะว่ากระทบกับความมั่นคงหรือไม่ โดยหากพบความผิดปกติประธานาธิบดีมีอำนาจตามกฎหมายออกมาตรการจำกัดการนำเข้าได้

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น หลังรอสส์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัลว่าสหรัฐเตรียมสอบสวนประเด็นดังกล่าวในหลายภาคอุตสาหกรรม อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ การต่อเรือ และอะลูมิเนียม

นอกจากนี้ สหรัฐยังตั้งกำแพงภาษีระหว่าง 3-24.1% กับสินค้าประเภทไม้แปรรูปจากแคนาดา โดยให้เหตุผลว่าแคนาดาอุดหนุนสินค้าดังกล่าวอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งผู้ผลิตสหรัฐ ระบุว่า ค่าธรรมเนียมในการตัดไม้ในพื้นที่ของรัฐบาลแคนาดาต่ำกว่าราคาตลาดมาก

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์สร้างความประหลาดใจในวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยยืนยันจะไม่ออกจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังมีกระแสข่าวว่าทรัมป์จะใช้คำสั่งพิเศษถอนสหรัฐออกจากนาฟต้า ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างสหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโก