posttoday

จับระเบิดแปดริ้ว ปั่นกระแสคุมการเมือง

06 ธันวาคม 2560

การหยิบยกเงื่อนไขเรื่องการตรวจพบระเบิด และเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มที่ก่อเหตุในอดีต ถูกมองว่าเป็นความพยายามปั่นกระแส

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบอาวุธสงครามและระเบิดจำนวนมากที่ อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา พบระเบิดขว้างอาร์จีดี 5 จำนวน 30 ลูก ไปป์บอมบ์ 7 ลูก แท่งดินระเบิด ระเบิดทีเอ็นที ลูกระเบิดยิงขนาด 40 มม. จำนวน 2 ลูก กระสุนปืนและปืนอาก้า 2 กระบอก  ​

ที่สำคัญจากการตรวจสอบพบว่าอาวุธที่ตรวจพบรอบนี้ มีความเชื่อมโยงกับการก่อเหตุคดีในปี 2557 ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ และการออกมาดักคอว่าเป็นการฉวยโอกาสหรือสร้างสถานการณ์เพื่อหวังผลการเมืองหรือไม่

เสียงสะท้อนจาก วัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ในหัวข้อ “มุขเดิมๆ” ว่า คาดเอาไว้แต่แรกแล้วว่า คสช.ต้องฉวยโอกาสเอาเรื่องการพบอาวุธที่ฉะเชิงเทราเป็นข้ออ้างเพื่อยื้ออำนาจต่อ

“สิ่งที่คาดก็ถูกต้องเมื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ฉวยเอาเรื่องนี้มาเป็นสาเหตุที่จะไม่ปลดล็อกการเมืองจนกว่าจะใกล้เลือกตั้ง ทั้งหมดคือการทำไอโอ (I/O) แบบทหารหรือโฆษณาชวนเชื่อ ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อยื้ออำนาจและเอาเปรียบทางการเมือง”

ทำให้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ออกมาชี้แจงปฏิเสธกระแสข่าวเรื่องการจัดฉากอาวุธที่พบเป็นการพบที่ซุกซ่อนไว้จริงๆ มีหลักฐานยืนยันแล้วว่า เป็นของจริง มีฐานข้อมูลโยงใยสายต่างๆ อยู่ ซึ่งเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล

ไม่ต่างจาก​ พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ออกมาชี้แจงถึงที่มาที่ไปว่าการตรวจพบอาวุธนั้น สืบเนื่องจากที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม เร่งรัดให้ฝ่ายความมั่นคงกวาดล้างอาวุธสงครามและปราบปรามมาเฟียผู้มีอิทธิพล จึงตรวจค้นหลายพื้นที่

“คาดว่าผู้ที่ครอบครองอาวุธเกิดความกังวลว่ามีความผิด จึงนำอาวุธมาทิ้ง ส่วนที่เป็นปัญหาคืออาวุธที่ยึดได้ครั้งนี้มีหมายเลขประจำเครื่องที่ตรงกับการใช้ในปี 2557 และมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาชัดเจน”

ส่วนประเด็นที่ถูกหยิบยกเชื่อมโยงไปถึง ​โกตี๋-วุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ นั้น พล.อ.เฉลิมชัย อยู่ระหว่างรอผลการดำเนินการตรวจสอบ แต่คนที่เคยถูกจับกุมเป็นกลุ่มฮาร์ดคอร์ มีตัวตนชัดเจนและถูกดำเนินคดี ขอย้ำว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มั่ว

ส่วนหนึ่งที่ทำให้กระแสวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงมากขึ้นเพราะการตรวจพบอาวุธครั้งนี้เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญทางการเมือง จนทำให้ถูกมองว่าเหตุการณ์นี้มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

ด้านหนึ่ง​เพราะเหตุการณ์ความปั่นป่วนวุ่นวายมานาน การตรวจพบอาวุธในช่วงนี้ แม้จะเป็นการนำมาทิ้งไว้เพราะกลัวความผิดจึงเกิดคำถามว่าทำไมถึงเพิ่งจะมาพบแทนที่จะตรวจพบตั้งแต่ช่วงเกิดเหตุตั้งแต่แรกๆ

ทั้งที่เวลานั้นเจ้าหน้าที่ได้ปูพรมติดตามตรวจสอบขยายผลจากการตรวจอาวุธตามจุดต่างๆ อันนำมาสู่การตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องสงสัยต่อไป

ดังจะเห็นว่าช่วงเวลานั้นมีการตรวจพบอาวุธตามสถานที่ต่างๆ อยู่เป็นระยะ ในขณะที่เห​ตุป่วนและเหตุการณ์ความไม่สงบค่อยๆ หายไป

ก่อนหน้านี้หลายเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นถูกมองว่าเป็นเพียงข้ออ้างที่ทาง คสช.หยิบยกมาเป็นเหตุผลในการไม่ปล่อยให้เกิดกลุ่มการเมืองออกมาเคลื่อนไหว หรือดำเนินกิจกรรมทางการเมือง

อันจะยิ่งสร้างความปั่นป่วนซ้ำเติมสถานการณ์ หรือเปิดช่องให้มือที่สามจ้องก่อความไม่สงบใช้เป็นโอกาสร้างความปั่นป่วนเพิ่มเติม​

ไม่ต่างจากครั้งนี้การตรวจพบอาวุธ​ใน จ.ฉะเชิงเทรา มาเกิดในจังหวะเวลาเดียวกับที่กลุ่มการเมืองเรียงหน้าออกมาเรียกร้องให้ คสช.ปลดล็อกเปิดให้พรรคการเมืองสามารถเคลื่อนไหวได

แม้ทางรัฐบาล คสช.จะพยายามหยิบยกหาเหตุผลต่างๆ มาอธิบายเพื่อยังคงสภาพของคำสั่งไม่ให้พรรคการเมืองขยับได้ แต่ก็คงจะยื้อต่อไปได้อีกไม่นาน เพราะนับวันสถานการณ์มีแต่จะ “สุกงอม” รอให้พรรคการเมืองได้ขยับเข้ามาเตรียมความพร้อมก่อนลงสู่สนามอีกครั้ง

ไม่ว่าจะเป็น พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว จำเป็นที่พรรคการเมืองต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายใหม่บังคับ การไม่ปลดล็อกให้เคลื่อนไหวทางการเมืองย่อมมีแต่จะไม่สมเหตุสมผล ยิ่งในวันที่รัฐบาลประกาศเดินหน้าสู่การเลือกตั้งตามโรดแมป

การประวิงเวลาไม่ยอมปลดล็อกย่อมโดนวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นเพราะต้องการชิงความได้เปรียบทางการเมือง ท่ามกลางกระแสข่าวเรื่องการยื้ออยู่ในตำแหน่งและการสืบทอดอำนาจผ่านกลไกนายกรัฐมนตรีคนนอก

ลำพังการจะอ้างเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบและคงสภาพคำสั่งไว้ก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เมื่อเหตุการณ์หลายเดือนที่ผ่านมาทุกอย่างอยู่ในกรอบเรียบร้อย ไม่มีความรุนแรงวุ่นวาย

การหยิบยกเงื่อนไขเรื่องการตรวจพบระเบิด และเชื่อมโยงไปถึงกลุ่มที่ก่อเหตุในอดีต จึงถูกมองว่าเป็นความพยายามปั่นกระแส และนำมาใช้เป็นข้ออ้างไม่ปลดล็อกทางการเมือง​

จนเริ่มถูกดักคอล่วงหน้า ซึ่งสุดท้ายแล้วจะย้อนกลับมาเป็นแรงกดดันสู่รัฐบาล คสช.อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง