คำมั่น"บิ๊กตู่"ปิดประตูเลื่อนเลือกตั้ง
คำมั่นของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงถือเป็นการปิดประตูตัดโอกาสที่จะเลื่อนเลือกตั้งออกไป
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้โอกาสในการเดินทางไปพบปะกับ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตามคำเชิญ ให้คำมั่นชัดเจนว่าจะเดินหน้าตามหลักประชาธิปไตยสากลของไทยที่จะเป็นไปตามโรดแมป
“ในปีหน้าเราจะประกาศวันเลือกตั้งออกมา โดยไม่มีการเลื่อนใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อประกาศแล้วก็จะมีกรรมวิธีของการเลือกตั้ง คือนับไปอีก 150 วันตามกฎหมายหลังจากประกาศ ยืนยันว่าจะประกาศเลือกตั้งปีหน้าแน่นอน ทั้งนี้ ประธานาธิบดีสหรัฐไม่ได้ถามเรื่องการเลือกตั้ง แต่ผมได้แสดงความเชื่อมั่นออกไป เพราะไม่ได้ปกปิดใคร ไม่ได้บิดเบือนอย่างที่หลายคนกล่าวอ้าง โดยพูดเช่นนี้มาโดยตลอด”
ถือเป็นสัญญาประชาคมที่การันตีต่อชาวโลกว่าประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง หรือหาเหตุผลมาเลื่อนการเลือกตั้งออกไป
ส่วนหนึ่งย่อมช่วยคลี่คลายความกังขากระแสข่าวความพยายามยื้อการเลือกตั้งออกไปเพื่อยืดเวลาให้รัฐบาล คสช.ได้อยู่ในตำแหน่งต่อไปเกินกรอบโรดแมปที่วางไว้
ไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยออกมาดับกระแสวิเคราะห์ ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตคณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ระบุรัฐบาลทหารจะอยู่ถึง 10 ปี ว่า
“ถามว่ารัฐบาลจะอยู่ยาวถึง 10 ปี อยู่ได้อย่างไร อยู่ได้ถึง 10 ปี ก็เก่งแล้ว ในเมื่อกลไกมันคือการเลือกตั้ง ทำไมถึงไม่เข้าใจกันสักที การเลือกตั้งนั้นจะต้องเกิดขึ้นในปี 2561 ชัดเจนกันหรือยัง ไม่ต้องมาถามอย่างอื่นอีก”
แต่ทว่ายังไม่อาจคลี่คลายความเคลือบแคลงจากสังคม จนมีฝ่ายการเมืองออกมาดักคอสกัดความพยายามการยื้อเลือกตั้งออกไปด้วยการหยิบยกเหตุผลเรื่องต่างๆ มาเป็นข้ออ้าง
โดยเฉพาะแนวคิดความพยายามใช้กลไกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) คว่ำ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ ที่เสนอมาจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) อันจะเป็นเหตุให้โรดแมปที่กำหนดไว้เดิมมีอันต้องเลื่อนออกไป อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง
สอดรับไปกับก่อนหน้านี้เมื่อครั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประชุมเตรียมความพร้อมการเลือกตั้ง สส. และการได้มาซึ่ง สว. ให้กับผู้อำนวยการเลือกตั้งทั้ง 77 จังหวัด โดยมี ศุภชัย สมเจริญ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นประธานการประชุม
ในที่ประชุมประเมินว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส. จะมีผลใช้บังคับประมาณเดือน มี.ค. 2561 และช่วงที่จะประกาศพระราชกฤษฎีกาเลือกตั้งเดือน พ.ค.-มิ.ย. 2561 และมีการเลือกตั้งในเดือน ส.ค. 2561
ทว่าหลังจาก กกต.ออกมาคาดการณ์ท่าทีของฝ่ายรัฐบาลตลอดจนแม่น้ำสายต่างๆ ดูจะไม่ได้ “รับลูก” ไปกับ กกต. แถมออกมาชี้แจงว่ายังมีเงื่อนเวลาบางส่วนที่ กกต.ยังไม่ได้นำมาคำนวณจนอาจทำให้กำหนดการเลือกตั้ง ส.ค. 2561 อาจต้องเลื่อนออกไป
ตอกย้ำข้อกังขาความพยายามเลื่อนการเลือกตั้งออกไป นำมาสู่การเรียกร้องให้รัฐบาล และ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศความชัดเจนเรื่องกำหนดการเลือกตั้ง
ดังนั้น คำมั่นที่ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศกับ ทรัมป์ ว่าจะมีการเลือกตั้งในปี 2561 จึงเป็นสัญญาประชาคมที่ประกาศต่อชาวโลกซึ่งกำลังติดตามสถานการณ์ในประเทศไทย
สุดท้ายนี่จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่บังคับให้รัฐบาล คสช. ต้องเดินไปตามกรอบที่วางไว้ จนยากจะบิดพลิ้วหรือเลื่อนการเลือกตั้งออกไปที่จะนำมาสู่ปัญหาอย่างรุนแรงในอนาคต
ประการแรก เรื่องความเชื่อมั่นเพราะหากรัฐบาล คสช.ไม่สามารถดำเนินการ ทำให้เกิดการเลือกตั้งได้ตามที่รับปากไว้ย่อมฉุดความเชื่อมั่นที่มีต่อรัฐบาล คสช.ให้หมดสิ้นไป
อันจะพานกระทบไปถึงเรื่องอื่นทั้งความเชื่อมั่นด้านการค้า การลงทุน ที่นักลงทุนรอดูความชัดเจนก่อนจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศ หลังจากที่ทุกอย่างหยุดชะงักไปตั้งแต่รัฐประหาร
สุดท้ายผลกระทบจากความเชื่อมั่นก็จะบานปลายไปถึงเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ ฉุดให้ทุกอย่างย่ำแย่ลง กลายเป็นแรงกดดันที่รัฐบาล คสช.ต้องเผชิญ
ทั้งที่อุตส่าห์พยายามอัดฉีดเม็ดเงินลงพื้นที่ และเร่งดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ เพื่อเป็นเครื่องยนต์กระตุ้นเศรษฐกิจให้เดินหน้าต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ผ่านมา
ประการที่สอง กลายเป็นเงื่อนไขให้ฝั่งที่อยู่ตรงข้ามกับ คสช.ออกมาหยิบยกเป็นเหตุผลนำมาดิสเครดิต คสช. ทำลายความน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะกับประเด็นเรื่องความพยายามยื้ออยู่ในอำนาจต่อไป อันจะยิ่งสั่นคลอนเสถียรภาพอย่างรุนแรง
สุดท้ายย่อมกระทบไปถึงสิ่งที่ คสช.ทำมาทั้งหมดโดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูป และปรองดอง ที่ คสช. ประกาศว่าจะเร่งเดินหน้าทำให้สำเร็จลุล่วงเพื่อไม่ให้รัฐประหารต้องเสียของ
ยังไม่รวมกับแผนการปฏิรูปประเทศ ที่ปูทางไว้ต่อเนื่องหลังการเลือกตั้ง อย่างการตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ หรือกลไกอื่นๆ ที่อาจจะต้องสะดุดลงไปหากความเชื่อมั่นของ คสช.ถูกสั่นคลอน
คำมั่นของ พล.อ.ประยุทธ์ จึงถือเป็นการปิดประตูตัดโอกาสที่จะเลื่อนเลือกตั้งออกไป ซึ่งมีแต่ผลเสียที่จะย้อนกลับมาหา คสช.อย่างรุนแรง