ตัดตอนปัญหารุมเร้า ลดแรงปะทะ คสช.
สุดท้ายที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีมติแก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องของพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราวให้บรรจุเป็นข้าราชการจำนวน 1.1 หมื่นอัตรา
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
สุดท้ายที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ก็มีมติแก้ปัญหาตามข้อเรียกร้องของพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราวให้บรรจุเป็นข้าราชการจำนวน 1.1 หมื่นอัตรา โดยปี 2560 จะสามารถบรรจุพยาบาลได้ 5,885 ตำแหน่ง แบ่งเป็น 1,200 ตำแหน่ง ที่จะบรรจุได้ภายใน 1-2 เดือน และยังจะมีตำแหน่งเกลี่ยเพิ่มได้อีก 1,000 ตำแหน่ง รวมเป็น 2,200 ตำแหน่ง
ดังนั้น จากที่ขอมา 10,992 ตำแหน่ง จะเหลือ 8,792 ตำแหน่ง ครม.เห็นชอบแบ่งบรรจุ 3 ปีเฉลี่ยเป็นปี 2560 จำนวน 2,930 ตำแหน่ง สิ้นเดือน ก.ย. จะมีพยาบาลเกษียณ 755 ตำแหน่ง ขณะที่ปี 2561 และปี 2562 อีกปีละ 2,931 ตำแหน่ง
จากก่อนหน้านี้ที่ ครม.มีมติไม่อนุมัติอัตราข้าราชการพยาบาลจำนวน 10,992 อัตรา จนเกิดกระแสการคัดค้าน โดยเพจ Nurse team thailand ได้ประกาศผ่านเพจว่า “ไม่บรรจุ ลาออกยกกระทรวง 30 กันยายน 2560”
ต่อเนื่องด้วยกระแสติดแฮชแท็ก #Nurse team thailand คู่ขนานไปกับกลุ่มพยาบาลออกมารณรงค์เคลื่อนไหวเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เฟซบุ๊กเพื่อแสดงจุดยืนคัดค้าน
การแก้ปัญหาของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ในครั้งนี้ จึงถือเป็นการลดแรงกดดันที่จะเกิดขึ้นตามมา ยิ่งภายหลังจากที่ “พยาบาล” ผนึกกำลังออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้
หากรัฐบาลยังปล่อยปละนอกจากจะเกิดปัญหาในระบบสาธารณสุขที่ส่งผลกระทบในวงกว้างทั่วประเทศแล้ว อีกด้านแรงต้านที่ออกมาเคลื่อนไหวยังจะสั่นคลอนเสถียรภาพรัฐบาลและ คสช.มากขึ้น
สอดรับกับสัญญาณจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ที่รีบออกมาชี้แจงว่าจะมีการทยอยบรรจุให้ โดยใช้อัตราภายในไปก่อน ส่วนที่เหลือก็จะมีการเพิ่มเติมให้ในห้วงเวลา 3 ปี
“เบื้องต้นก็แค่นี้ไปก่อน คิดว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ดีที่สุดในขณะนี้ สิ่งสำคัญก็ต้องดูแลในภาพรวมของรัฐบาลและส่วนราชการทั้งหมดด้วย ซึ่งมีทั้งข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราว ลูกจ้างประจำ ต้องดูว่าในอนาคตจะทำอย่างไร ไม่เช่นนั้นจะเกิดปัญหาอยู่แบบนี้”
“ถ้าจะให้บรรจุพยายาบาลเป็นข้าราชการทั้งหมดหมื่นอัตรา ไม่นึกถึงกระทรวงอื่นบ้างหรือ พยาบาลทำงานหนักคนเดียวหรืออย่างไร มันไม่ใช่ ส่วนตัวเชื่อว่าพยาบาลและหมอส่วนใหญ่เข้าใจว่ามีเพียงส่วนน้อย แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแต่ขอร้องอย่าไปสร้างประเด็นเหล่านี้ออกมาไม่เช่นนั้นจะยุ่งกันไปหมด”
สะท้อนแนวคิดของรัฐบาลที่ห่วงว่าหากรีบรับลูกหาทางแก้ไขอาจเป็นต้นแบบให้กลุ่มอื่นๆ ออกมาเคลื่อนไหวเลียนแบบในลักษณะเดียวกันนี้
แต่หากแข็งขืนไม่ทำอะไรเลย แรงกดดันทั้งหมดจะยิ่งทวีความรุนแรงจนย้อนกลับมาสร้างปัญหาให้รัฐบาลและ คสช.ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเช่นนี้
ไม่ต่างจากกรณีอื่นๆ ที่รัฐบาล คสช.เคยประสบ ซึ่งมักจะใช้รูปแบบการแกัปัญหาด้วยการยื้อเวลาออกไป โดยไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจฟันธงอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่ามกลางเสียงคัดค้านหรือกระแสต่อต้าน
หากจำได้ช่วงพิจารณาผลักดัน พ.ร.บ.ปิโตรเลียม ที่มีกระแสทั้ง “คัดค้าน” และ “สนับสนุน” ให้ตั้ง บรรษัทน้ำมันแห่งชาติ (NOC) ที่แต่ละฝั่งก็มีเสียงสนับสนุนอยู่ไม่น้อย ทั้งฝั่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และฝั่งเครือข่ายปฏิรูปพลังงาน
ครั้งนั้นรัฐบาลหาทางออกด้วยการตัดเนื้อหาเรื่อง NOC ออกไป และปรับเป็นข้อสังเกตให้แต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อพิจารณาศึกษาถึงรายละเอียดรูปแบบและวิธีการในการจัดตั้งบรรษัทน้ำมันแห่งชาติที่เหมาะสมภายใน 1 ปี
คล้ายกับกรณีความพยายามผลักดัน โรงไฟฟ้าถ่านหิน จ.กระบี่ ที่ใกล้จะเป็นรูปเป็นร่าง แต่สุดท้ายเมื่อเสียงคัดค้านรุนแรงและเริ่มขยายวงมีแนวร่วมออกมาเคลื่อนไหว ที่นัดหมายจะไปปักหลักอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาลจนกว่าจะยกเลิก
ทำให้รัฐบาลต้องตัดสินใจยอมถอยกลับมาตั้งหลักใหม่ ด้วยการกำหนดให้ทำการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมใหม่อีกรอบ เนื่องจากที่ผ่านมาถูกถล่มว่าไม่เป็นการรับฟังความคิดเห็นรอบด้านแท้จริง ซึ่งทำให้ร่นเวลาการตัดสินใจออกไปอีกพักใหญ่
คล้ายกับกรณี พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน หรือ พ.ร.บ.คุมสื่อฯ ที่ 30 องค์กรสื่อมวลชนผนึกกำลังออกมาเคลื่อนไหวคัดค้าน เพราะเห็นว่าเนื้อหาในร่างกฎหมาย
ดังกล่าวเป็นการลิดรอนสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน
เมื่อเสียงคัดค้านรุนแรงขึ้นรัฐบาลก็ส่งสัญญาณถอย ทาง กมธ.ของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ก็ยอมปรับแก้เนื้อหาบางส่วนทั้งเรื่องการขึ้นทะเบียนสื่อและโทษปรับจำคุกออกไป
ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นรูปแบบการแก้ปัญหาที่ยึดหลัก “ซื้อเวลา” ยอมถอยเพื่อลดแรงเสียดทานท่ี่รุมเร้าไม่ให้สะสมกลายเป็นแรงกดดันย้อนกลับมาเขย่าเสถียรภาพในอนาคต