posttoday

บิ๊กป้อม จุดอ่อน ฉุดเชื่อมั่น คสช.

28 เมษายน 2560

กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กลายเป็น “จุดอ่อน” ที่เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องฉาวหลายต่อหลายเรื่อง

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเมื่อ พี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี กลายเป็น “จุดอ่อน” ที่เข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องฉาวหลายต่อหลายเรื่องที่นับวันมีแต่จะยิ่งฉุดความเชื่อมั่นของรัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ

ปัญหาอยู่ตรงที่ “สายสัมพันธ์” อันแนบแน่นระหว่าง บิ๊ก คสช.ที่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันมายาวนานจนยากจะตัดขาด​จากกันได้ ส่งผลให้สภาพปัจจุบันอยู่กันแบบ “เตี้ยอุ้มค่อม”

ช่วงที่ผ่านมา จึงปรากฏความระหองระแหงให้เห็นเป็นระยะ รวมทั้งกระแสข่าวการปรับ พล.อ.ประวิตร ออกจากตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีหลายรอบ จนกระทั่งไม่กี่วันที่ผ่านมา

หากจำได้ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เคยกล่าวทีเล่นทีจริงว่า “ที่ท่านรองประวิตร บอกอยากลาออก เพราะท่าน 70 แล้ว แต่ถ้าลาออก ผมก็จะตั้งใหม่ ใช้ ม. 44 ตั้งเข้ามาใหม่ เมื่อเข้ามาแล้ว ร่วมชะตากรรมกันแล้ว ตั้งแต่ 22 พ.ค. 57 กันแล้วจะทิ้งผมหรือ”

นี่จึงตอกย้ำสัมพันธ์ของพี่น้องบูรพาพยัคฆ์ใน คสช.ที่ตัดกันไม่ขาด ต่อให้ต้องเผชิญกับแรงกดดันมากน้อยแค่ไหนก็ตาม

ล่าสุดกับการผลักดันการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” ด้วยการอ้างชั้นความลับนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสคัดค้านอย่างกว้างขวาง จนมองกันไปถึงเบื้องหน้าเบื้องหลัง ที่ทำให้ ครม.ต้องรีบเร่งให้ความเห็นชอบ ทั้งที่ยังมีผู้ที่ไม่เห็นด้วย

“ยืนยันว่าไม่ได้อนุมัติเงียบ ครม. รู้หมด ส่วนเหตุผลที่ไม่มีการแถลงชี้แจงนั้น เนื่องจากเป็นเอกสารลับ แต่ยืนยันว่าพร้อมชี้แจงตลอด และเมื่อถึงเวลาประชาชนจะทราบเอง เช่นเดียวกับเรื่องรถถังที่อนุมัติไปแล้ว 1-2 เดือน ถึงจะทราบเรื่อง”​ พล.อ.ประวิตร กล่าว

การอ้างเหตุผลเรื่อง “ความมั่นคง” จนต้องทุ่มงบประมาณก้อนโต 3.6 หมื่นล้านบาท ไปกับยุทโธปกรณ์ ที่มีเสียงค้านว่าไม่จำเป็น ทั้งในด้านสภาพภูมิศาสตร์ของประเทศและความคุ้มค่า ยิ่งในช่วงที่รัฐบาลกระเป๋าแฟบ ควรใช้เงินที่มีจำกัดไปกับสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนมากกว่า

นี่จึงยิ่งทำให้สังคมเคลือบแคลงการทำงานของ คสช.ที่อาสาเข้ามาทำงานเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนนั้นจะให้ความสำคัญกับประโยชน์ของกองทัพมากกว่าหรือไม่

อีกเรื่องที่ฉุดความเชื่อมั่น คสช. ไม่แพ้กัน คือ มาตรการรณรงค์ความปลอดภัยที่ออกมา หวังว่าจะลดความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สินจากอุบัติเหตุในช่วงสงกรานต์ ทั้งการ รัดเข็มขัด การห้ามนั่งแค็บรถกระบะ และห้ามนั่งท้ายรถกระบะ

ทว่า มาตรการทั้งหลายที่ออกมาถูกมองว่า ทั้งแก้ปัญหาไม่ตรงจุด และไม่เข้าใจสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนและสังคมไทย

เมื่อ​เรื่องดังกล่าวนี้กระทบกับประชาชนหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกรในชนบทที่ต้องใช้รถกระบะ ทั้งบรรทุกของและบรรทุกคน จนกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน เรื่อยไปจนถึงกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างที่ใช้รถกระบะขนคน ขนแรงงานไปทำงานตามพื้นที่ต่างๆ

หลังมาตรการนี้ถูกถล่มอย่างหนักจนต้องออกมาตรการผ่อนผันในช่วงสงกรานต์ ​พล.อ.ประวิตร ออกมายืดออกยอมรับว่า ร่วมคิดมาตรการนี้ด้วยตัวเอง

อีกเรื่องร้อนที่กัดกร่อนความ เชื่อมั่นของรัฐบาลไม่น้อย คือ กรณี ที่ พล.อ.ประวิตร นำคณะเดินทาง ไปประชุมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาเซียน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐ อย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN - US Defense Informal Meeting) ระหว่างวันที่ 29 ก.ย.-1 ต.ค. ณ มลรัฐฮาวาย สหรัฐ ด้วยการเช่าเหมาลำเครื่องบินการบินไทย 20 ล้านบาท ที่พบว่า ค่าอาหารบนเครื่องสูงถึง 6 แสนบาท จน พล.อ.ประวิตร ออกมาชี้แจงว่า ทุกอย่างโปร่งใส ควบคู่กับผลสอบของสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ​ออกมายืนยันความโปร่งใส

สุดท้าย แผลเก่าเรื่องโครงการ ขุดลอกแหล่งน้ำขององค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก (อผศ.) ที่เกิดการแอบอ้างชื่อ พล.อ.ประวิตร ไปรับเรียก ค่าหัวคิว หลัง อผศ.ได้รับสิทธิพิเศษ ในการเป็นผู้รับจ้างเกี่ยวกับการปรับปรุงฟื้นฟูแหล่งน้ำ งานขุดลอกคูคลอง โดยไม่ต้องมีการประกวดราคา

ด้วยเม็ดเงินที่ประเมินว่ามีการเรียกเก็บกันสูงถึง 1,000 ล้านบาท ทำให้ พล.อ.ประวิตร ชี้แจงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ทำไว้ตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว ซึ่งได้อนุมัติให้ อผศ.รับงานได้ ​ส่วนตัวเพิ่งเข้ามารับตำแหน่งยังไม่รู้เรื่องด้วยซ้ำ

แต่ละเรื่องที่เกิดขึ้น จึงมีแต่จะ ยิ่งฉุด​ความเชื่อมั่น คสช.อย่างไม่อาจ หลีกเลี่ยง