ม.44แค่ตัวช่วย สงกรานต์ยังป่วน
เจ้าหน้าที่ต้องไม่หย่อนยานต่อการใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ตราตัวหนังสือบนกระดาษ
โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์
เทศกาลสงกรานต์ในปีนี้อาจดูค่อนข้างเงียบเหงาแตกต่างไปจากทุกครั้งที่ผ่านมา เนื่องด้วยประชาชนจากหลายภาคส่วนยังอยู่ในบรรยากาศความโศกเศร้าต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บูรพมหากษัตริย์ไทย
ทำให้ภาพรวมของงานเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ไทยจึงดูไม่คึกคักเท่าที่ควร ประกอบกับความเข้มข้นที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องการให้ประชาชนสืบสานเทศกาลสงกรานต์ในแบบฉบับความเป็นไทยให้ชาวโลก
ได้ประจักษ์
จะเห็นจากบรรยากาศแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ตรอกข้าวสาร ที่รัฐบาลมีมาตรการจริงจังโดยให้งดจัดงานอีเวนต์เหมือนเฉกเช่นทุกปี รวมทั้งการเปิดเพลงเสียงดังและเล่นแป้ง อนุญาตให้เพียงสามารถใช้ปืนฉีดน้ำได้เท่านั้น ทว่าอีกนัยหนึ่งที่รัฐบาลกำหนด
เนื่องด้วยตรอกข้าวสารนั้นตั้งอยู่ใกล้กับ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ซึ่งใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพ จึงเกรงว่าหากภาพปรากฏออกไปอาจเกิดความไม่เหมาะสม จึงอนุญาตให้เล่นสาดน้ำได้แต่พองามโดยมีจุดประสงค์เพื่อสืบสานวัฒนธรรมอันดีของไทย
แม้บรรยากาศตรอกข้าวสารจะทุเลาความบันเทิงลง แต่บริเวณสีลมที่รัฐบาลได้เปิดให้ประชาชนสามารถเล่นสงกรานต์จนถึงเวลา 20.00 น. จะเห็นชัดว่าประชาชนได้ทำตามระเบียบกำหนดไว้อย่างเคร่งครัดไร้ปัญหา รวมถึงพื้นที่อื่นๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และ ต่างจังหวัด สะท้อนถึงความเข้าใจรัฐบาลอย่างถ่องแท้ของประชาชน
ขณะเดียวกันอีกหนึ่งปัญหาซึ่งเห็นความเปลี่ยนแปลงจริงจัง คือ กรณีการใช้รถใช้ถนนของประชาชนที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนา หลายรัฐบาลพยายามควบคุมการเกิดอุบัติเหตุให้ลดลง ทว่า ท้ายสุดแล้วก็ไม่สามารถดำเนินการได้ ด้วยปัจจัยจากความประมาท
ปีนี้รัฐบาลงัดไม้ตายด้วยการใช้มาตรา 44 เข้ามาควบคุม ซึ่งต้องยอมรับว่าค่อนข้างเล็งเห็นผลเด่นชัด ตั้งแต่ห้ามมิให้คนนั่งท้ายรถกระบะ หรือห้ามกระบะบรรทุกน้ำมาสงกรานต์ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากทางเจ้าหน้าที่ รวมถึงการแก้ไขปัญหาเด็กแว้น
มาตรา 44 นี้ทำให้เรื่องดังกล่าวลดลงอย่างเป็นที่น่าพอใจ แม้จะปรากฏออกมาให้เห็นบ้างประปรายก็ตาม สะท้อนถึงผลสัมฤทธิ์ต่อการใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ แม้จะได้รับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนอยู่เนืองๆ จากกรณีไม่ให้ประชาชนนั่งโดยสารภายในแค็บ กระบะ ท้ายสุดทางรัฐยอมผ่อนปรนแต่ก็ยังให้ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของทางเจ้าหน้าที่
รายงานล่าสุดจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้สรุปตัวเลขสถิติผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ จากการวิเคราะห์ช่วง 5 วันก่อนจบเทศกาลนั้น พบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตลดลง 20% เมื่อเทียบกับปี 2559
สอดประสานกับบรรดาคนในรัฐบาล คสช.ต่างออกมาตั้งโต๊ะแถลงถึงความสำเร็จจากการใช้มาตรการเข้มข้นทันที
“...จำนวนผู้เสียชีวิตเมื่อเทียบกับปี 2559 ลดลงเกือบ 20% ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของประชาชน รวมทั้งมาตรการและการรณรงค์ของรัฐ...” พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเมื่อวันที่ 17 เม.ย.
อย่างไรก็ตาม แม้จำนวนผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุลดลง แต่ทว่าสถิติของการฝ่าฝืนกฎหมายจราจรก็ยังมากขึ้น ดังพิจารณาจากมาตรการ “ดื่มไม่ขับ จับยึดรถ” ด้วยจำนวนผู้ใช้เส้นทางและปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นทำให้สถิติการยึดรถสูงกว่าเทศกาลสงกรานต์ปี 2559
รวมทั้งอาจประเมินเบื้องต้นได้ว่ายังมีผู้ขับขี่รถจำนวนหนึ่งที่เชื่อมั่นในตนเองเกินไป โดยไม่ตระหนักและคำนึงถึงความเสียหายของการดื่มสุราแล้วขับขี่รถ
ส่วนสาเหตุหลักของการบาดเจ็บและเสียชีวิตซึ่งยังครองแชมป์อยู่ คือ เมาแล้วขับ รองลงมาเป็นการขับรถเร็ว โดยเฉพาะรถจักรยานยนต์และรถกระบะที่บรรทุกคนโดยไม่มีอุปกรณ์นิรภัย ทั้งหมดทั้งมวลจะเห็นได้ถึงภาพรวมของการใช้มาตรา 44 อาจยังไม่สามารถลดการเกิดอุบัติเหตุได้
ทว่าเป็นกฎหมายที่กระตุ้นให้ประชาชนเกิดจิตสำนึกรักตัวเองรวมถึงสังคม เพราะเล็งเห็นผลต่อปัญหาตามมาว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้ส่งผลร้ายต่อตัวเองเท่านั้น แต่ยังรวมถึงคนรอบข้าง ซึ่งบทเรียนมีให้เห็นผลความน่ากลัวของอุบัติเหตุที่ได้ปรากฏตามหน้าสื่อ
ไม่ว่าจะเป็นช่วงสงกรานต์หรือยามเวลาปกติ แต่ถึงกระนั้นก็ตามแม้ทั้งหมดจะเกิดจากผลพวงของการใช้มาตรา 44 เป็นตัวช่วยให้อย่างอยู่ภายใต้การควบคุม ทว่าเป็นเรื่องสะท้อนกลับไปยังภาครัฐโดยเฉพาะ ผู้ถือกฎหมายในมือ จะทำอย่างไรต่อไปเมื่อไม่มีมาตราดังกล่าว
เมื่อผลปรากฏนั่นคือกฎหมายต้องมีความเข้มแข็งผนวกกับการเอาจริงเอาจังของเจ้าหน้าที่ ซึ่งจะใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดโดยไม่เลือกหากพบว่าเป็นการกระทำความผิด จึงนับเป็นความท้าทายก้าวใหม่ต่อจากนี้ว่า เจ้าหน้าที่ต้องไม่หย่อนยานต่อการใช้กฎหมายเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่เพียงแค่ตราตัวหนังสือบนกระดาษแต่ไร้ซึ่งอานุภาพ