"บัณฑูร" หวังปฏิรูป ไม่เสียของ
"ถ้าทำไม่ได้จะเสียของหรือเปล่าไม่รู้ เพราะไม่ได้เอาของเขามา แต่จะเสียกำลังใจ เสียอารมณ์พอสมควร ทำมาทั้งทีแล้วตอนจบไม่กล้า"
โดย...ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์
บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในเวทีสัมมนาทรานส์ฟอร์มมิ่งไทยแลนด์ ว่า การที่เข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ส่วนตัวมองว่า รัฐบาลไหนก็ตั้งได้ จะร่างยุทธศาสตร์ให้สวยหรูก็จ้างนักวิชาการได้ แต่ที่ยากคือการปฏิบัติ หัวใจสำคัญคือทำได้เร็วหรือไม่ วางแผนได้สวยหรู ต้องมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนว่าจะไม่ชักช้า
นอกจากนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปประเทศ ซึ่งการปฏิรูปคือทำให้แตกต่างจากเดิม จึงมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์อยู่ในรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่วางทิศทางประเทศต้องพัฒนาอย่างไรเพื่ออนาคต แต่ก็มีคณะกรรมการปฏิรูปย่อยอีก 11 คณะ ซึ่งตัวเอง (บัณฑูร) นั่งอยู่ในคณะกรรมการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินด้วย ก็แปลกที่เอานายแบงก์มาดูเรื่องบริหารราชการแผ่นดิน แต่ก็ขอลองดู ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปประชุมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปภายใน 90 วัน ว่าจะปฏิรูปอะไรอย่างไร เสนอให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติไปวางแผน
แต่ที่กลัว คือ ทุกคนพูดว่าปฏิรูปอย่างนั้นอย่างนี้ มีแนวทางปฏิบัติอย่างดี สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ แต่ขาดสิ่งสำคัญที่สุด คือ ไม่กล้าพูดว่าจะเปลี่ยนอะไรบ้าง
“มีแต่บอกว่าอยากเป็น แต่ไม่กล้าบอกว่าจะต้องแก้อะไร เพราะกลัวว่าจะไปกระทบกับใครสักคน ซึ่งการปฏิรูปแต่ละอย่างย่อมส่งผลกระทบกับบางคน ต้องมีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ ก็เพราะการปฏิรูปนั้น เป็นการล้มอำนาจแบบเดิม ล้มศักดิ์ศรีแบบเดิม และสกัดเส้นทางของอะไรสักอย่าง ส่วนตัวเห็นว่า นายกฯ ตั้งใจดี แต่การล้มโครงสร้างเดิมต้องมีคนรอบข้างคัดค้าน ต้องวัดใจว่า กล้าขนาดไหน”
บัณฑูร ยกตัวอย่างการรณรงค์รักษาป่าน่าน ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำของไทย 40% ได้พานายกรัฐมนตรีไปดูน่าน เมื่อเดือน ธ.ค. 2559 และบอกถึงปัญหาที่สูญเสียผืนป่าไปเป็นล้านไร่ภายในเวลาเพียงทศวรรษเดียว นายกรัฐมนตรี ก็เหมือนจะคล้อยตาม แต่เรื่องก็เงียบหายไปตั้งแต่นั้น ซึ่งได้ยินข่าวมาว่าคนรอบตัวคัดค้าน โชคดีที่มีช่องทางในการเสนอแผนงาน รออนุมัติอยู่ หากมีความชัดเจนจะแถลงให้ทราบ ซึ่งเรื่องน่านเป็นตัวอย่างเล็กๆ ในการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่มีใครกล้าที่จะรื้อระบบราชการของประเทศ เป็นเรื่องยากเกินไป
เรื่องประเทศไทย 4.0 ถ้ายุทธศาสตร์ที่ทำไม่มีการเปลี่ยน แปลงอย่างมีนัย นั่นคือความล้มเหลว เปลี่ยนไม่ได้ก็พ่ายแพ้ ต่อให้ทุกคนเข้าใจทัน พูดทัน แต่หากเข้าไปแก้ไม่ทัน ก็ย่อมล้มหายตายจาก ซึ่งการที่ทำไม่ทันเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะจะไม่เหลืออะไรให้กิน คนอื่นเอาไปกินหมด หากเป็นเอกชนที่เปลี่ยนไม่ทันจะเห็นภาพชัดว่าล้มหายเป็นรายๆ ไป แต่หากรัฐบาลเปลี่ยนไม่ทัน รัฐบาลไม่เจ๊ง แต่ที่เจ๊งคือประเทศและประชาชน เกษตรกรขายของไม่คุ้ม ต้องเหนื่อยยาก ซึ่งทุกรัฐบาลปัญหาอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าขายพืชผลไม่ออกแล้วเอามาเทหน้าทำเนียบฯ
สำหรับการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติกับนายกรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (ยังไม่มีเนื้อหาอะไรมาก แต่สิ้นปีนี้คงจะมีความชัดเจนว่าขอบเขตของคณะกรรมการยุทธศาสตร์คืออะไร ก็จะพยายามสอดความคิดเข้าไป แต่ยังไม่รู้ว่า จะกล้าเปลี่ยนไหม
อย่างที่เป็นคณะกรรมการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ (ซูเปอร์บอร์ด) ยังไม่หินเท่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพราะซูเปอร์บอร์ด ซึ่งกำลังจะออก พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจ รวบอยู่ในตะกร้าเดียว มีธรรมาภิบาลกำกับป้องกันปัญหาการล้วงเอาทรัพยากรประเทศไป แต่ยุทธศาสตร์ชาติจะไปไกลกว่า ตรงที่คนไทย ประเทศไทย จะเดินไปอย่างไร
โจทย์สำคัญของประเทศไทย ต้องมีรัฐบาลที่มีความสามารถที่จะนำทาง ไม่ว่าจะรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนที่จะมาหลังจากนี้ก็แล้วแต่เพราะเราไม่รู้ว่าการเมืองจะพลิกไปแบบไหน แต่รัฐบาลต้องมีความสามารถสร้างแผนงานการพัฒนาประเทศได้ แล้วนำประชาชน นำระบบรัฐบาล ไปสู่การแก้ไข ให้ทันการณ์ ซึ่งเรื่องทันเวลาเป็นโจทย์ที่สำคัญ
“ถ้าทำไม่ได้จะเสียของหรือเปล่าไม่รู้ เพราะไม่ได้เอาของเขามา แต่จะเสียกำลังใจ เสียอารมณ์พอสมควร ทำมาทั้งทีแล้วตอนจบไม่กล้า ของอย่างนี้ไม่ได้อยู่ที่นายกฯ คนเดียว แต่อยู่ที่คนรอบข้างนายกฯ ด้วย ก็เป็นการเมืองอย่างหนึ่ง ที่ต้องไปจัดการ ก็หวังว่าจะก้าวข้ามการเมืองรอบตัวไปได้ เพราะเขาต้องตัดสินใจ ซึ่งการผ่าไปก็อาจจะโดนมือโดนเท้าใครสักคน”
บัณฑูร กล่าวว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่า 4.0 คืออะไร ไม่กล้าถามนายกฯ แต่ย้อนรอยบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสตีฟ จ็อบส์ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก หรือ บิลเกตส์ ต่างเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเขาสนใจสร้างอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงเลิกเรียนและแยกย้ายไปทำงานในบ้านเล็กๆ ก่อนออกผลิตภัณฑ์มาสู่ตลาด ทั้งสมาร์ทโฟน โปรแกรม หรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งที่สหรัฐทำได้เพราะวัฒนธรรมเปิดกว้าง
ขณะที่ยุคของ แจ็ค หม่า และริชาร์ด ลิว ซึ่งเป็นคนจีนมองเห็นปัญหาที่คนในประเทศขายของไม่ได้ จึงสร้างแพลตฟอร์มในไซเบอร์สเปซ เป็นเครือข่ายร้านค้าแบบใหม่ เพราะร้านค้าหรือธนาคารในรูปแบบเดิมคนไม่สนใจจะเข้าแล้ว เมื่อไม่สนใจเข้า ก็หมายความว่าคนไม่เห็น ฉะนั้น ต่อให้เรามีสินค้าดีแค่ไหน แต่คนไม่เห็น ก็คงไม่ประสบความสำเร็จ คนจึงไปสร้างร้านค้าในโลกออนไลน์ ทำให้คนเห็นในมือถือ สามารถกดสั่งซื้อ และของก็มาส่งถึงบ้าน
ทั้งนี้ พัฒนาการของโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับประเทศไทยและคนไทย คือ จะเป็นได้แค่ลูกค้า ขณะที่คนควบคุมเส้นทางการค้าเจ้าของแพลตฟอร์มจะเป็นผู้ได้ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกทุนนิยม หากเล่นเกมนี้ไม่เก่ง เราจะอยู่แถวหลังเสมอ


