posttoday

"สู้มาขนาดนี้ไม่หนีไปไหน ยังไงมีโอกาสยกสองอุทธรณ์" บุญทรง เตริยาภิรมย์

20 สิงหาคม 2560

"ไม่หนีไปไหนหรอกครับ สู้มาขนาดนี้แล้ว วันที่ 25 ส.ค.นี้ ไปตามที่ศาลนัดแน่นอน เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรผิดตามที่ถูกฟ้อง"

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

"ไม่หนีไปไหนหรอกครับ สู้มาขนาดนี้แล้ว วันที่ 25 ส.ค. นี้ไปตามที่ศาลนัดแน่นอน เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ไม่ได้ทำอะไรผิดตามที่ถูกฟ้อง และเรามั่นใจการที่ได้นำพยานหลักฐาน ไปไต่สวนให้ศาลเห็นก็ชัดเจนละเอียด  ยืนยันความบริสุทธิ์เราได้ ส่วนศาลดูแล้วจะพิจารณาวินิฉัยอย่างไรก็ คงก้าวล่วงไม่ได้

หลังไต่สวนปีกว่า ก็หวังว่าเหตุการณ์วันที่ 25 ส.ค.จะผ่านพ้นไปด้วยดี เราไม่ทราบว่าผลจะออกมาอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นบวกเป็นลบเราก็พร้อมจะยอมรับ และปฏิบัติตามกฎหมายเท่าที่มี เพราะหากผลออกมาเป็นบวก ก็ไม่รู้ว่าทางโจทก์จะอุทธรณ์หรือไม่ อยู่ที่ทาง อสส.จะพิจารณา แต่หากเป็นลบเราก็ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ"

บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์1 ใน 28 จำเลยที่ถูกอัยการสุงสุด (อสส.) เป็นโจทก์ฟ้องในคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวและการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัรฐ (จีทูจี) โดยมิชอบ เริ่มต้นบทสัมภาษณ์เปิดใจก่อนการนัดฟังตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในวันที่ 25 ส.ค.นี้

หลังจากเมื่อต้นเดือนได้ชิมลางได้ไปร่วมรับฟังคำตัดสินในคดีสลายการชุมนุม ซึ่งศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษายกฟ้อง สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ ​พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น.

“ผมกับ พล.ต.ท.สุชาติ สนิทกัน เคยเรียน วปอ.ด้วยกัน ช่วงที่ท่านสมชายเป็นนายกฯ ผมเป็นเลขาฯ ส่วนตัว ตามท่านตลอด ต้องประสานกับท่านสุชาติ เลยสนิทกัน วันนั้นเจอกันก็คุยกันที่หน้าศาลหลังคำตัดสินออกมาแล้วบอกว่า ผมเตรียมกระเป๋าของใช้มาแล้ว ยังคุยกันเล่นๆ ว่า ของผมเตรียมไว้ซะหน่อยก็ดีนะ ผมก็คงต้องเตรียมเสื้อผ้า ของใช้ สบู่ ยาสีฟัน ยังไม่รู้ต้องเตรียมอะไรบ้าง”  

ถามว่า เตรียมตัวเตรียมใจกับคำตัดสินที่จะออกมาอย่างไร อดีต รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า ​​เราก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาถึงตรงนี้แล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะเราไม่ทราบหรอกว่า ศาลท่านจะวินิจฉัยอย่างไร แต่ในใจเราลึกๆ มั่นใจว่า เราได้ต่อสู้เต็มที่แล้ว ทั้งเรื่องพยานที่เอามาสืบในศาล พยานหลักฐานที่นำไปแสดงให้ศาลเห็นว่ามีอะไรบ้างที่เราทำแล้ว ไม่ได้ทำนอกเหนือจากที่ควรจะต้องทำ ตอนนี้ขึ้นอยู่กับทางศาล จะเป็นอย่างไรก็ต้องเป็นอย่างนั้น เราก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจเราด้วย

“ครอบครัวก็ให้กำลังใจ เป็นห่วงแต่วันฟังคำตัดสินผมไม่ให้ครอบครัวไป บอกไม่ถูก​... คนจะเยอะเนอะ ที่นั่งในศาลค่อนข้างจำกัด เราก็คิดว่าบรรยากาศก็ไม่ใช่ว่าจะดีนักหนา เลยบอกให้อยู่บ้านดีกว่า ภรรยาเป็นห่วง แต่ก็เข้าใจสถานการณ์เรื่องการเมืองตั้งแต่เริ่มต้นอยู่แล้ว เราทำการเมืองเป็น 10 ปี เขาก็เข้าใจ ทำงานการเมืองมาตลอด เขาก็ซัพพอร์ตเรามาตลอด” ​

อีกส่วนที่ต้องเตรียม ก็คือ การอุทธรณ์คดี ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ให้ยื่นอุทธรณ์ได้ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เป็นไปตามอัตโนมัติ ส่วนการยื่นขอประกันตัวระหว่างอุทธรณ์ก็​ต้องรอฟังศาลฎีกาว่ามีระเบียบขั้นตอนปฏิบัติอย่างไร
เมื่อได้รับสิทธิอุทกรณ์ตามรัฐธรรมนูญ การประกันตัว ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ทางฝ่ายกฎหมายไปประสานงานอยู่ตลอดเพื่อทราบความคืบหน้าว่าจะต้องทำอย่างไร เนื่องจากเป็นเรื่องที่ศาลไม่เคยมีระเบียบปฏิบัติ​

ถามว่า มั่นใจกับกระบวนการต่อสู้แก้ข้อกล่าวหาที่ผ่านมามากน้อยแค่ไหน บุญทรง กล่าวว่า ​ในคำแถลงปิดคดี เราได้สรุปให้ศาลเห็นกระบวนการนำพยานมาสืบ เป็นการยืนยันว่าเราไม่ได้ทำผิดตามเขาฟ้อง มีขั้นตอนระเบียบ กฎหมาย มีมติ ครม.รองรับทุกขั้นตอน ที่เราได้ดำเนินการไปในส่วนที่เป็นความรับผิดชอบ หน้าที่ อำนาจ ของรัฐมนตรี

รวมทั้งการระบายข้าวเป็นมติ ครม.เห็นชอบตามยุทธศาสตร์ของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เกี่ยวพันไปถึงเรื่องขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ คนปฏิบัติคือกรมการต่างประเทศ ทุกขั้นตอน มีระเบียบ กฎกติการองรับทั้งหมด ใครทำอะไร ก็ทำไปตามกฎระเบียบที่รองรับเหล่านั้น ใครจะทำอะไรที่เกินอำนาจหน้าที่ไม่ได้อยู่แล้ว

“ผมเองในฐานะเป็นรองประธาน กขช.ได้รับมอบหมายให้เป็นประธานอนุกรรมการ (พิจารณาระบายข้าว) ​ดำเนินการไปตามมติ ครม. เราทำตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน เรามีหน้าที่ควบคุมให้ทุกอย่างเป็นไปตามนโยบาย รายละเอียดเกี่ยวกับการปฏิบัติก็เป็นเรื่องของฝ่ายปฏิบัติที่จะเข้าไปดำเนินการ เรามีหน้าที่ติดตามว่ามีอะไรผิดแผกไปจากที่มอบหมายไว้หรือไม่ ให้เขารายงาน เพราะเราไม่สามารถลงไปทำงานตรงนั้นเองได้”

ทั้งนี้ ​ไม่อยากลงรายละเอียดลึกมาก ขอให้รอไปฟังศาล​ แต่สรุปว่า ​ทุกคนทำตามหน้าที่ มีกฎหมายรองรับ ตัวเองมั่นใจในสิ่งที่ได้ดำเนินการนำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาล เรามั่นใจว่าได้ชี้และแก้ประเด็นข้อกล่าวหาทุกประเด็นได้อย่างละเอียดชัดเจน แสดงให้เห็นถึงความบริสุทธิ์ของเราในการทำหน้าที่ ไม่ได้ทำการทุจริตตามที่กล่าวหา ผลจะออกมาอย่างไรก็รับผลตรงนี้ และมีขั้นตอนตามกฎหมายอะไรให้เราทำ​ก็ทำต่อ

อีกด้านหนึ่งในส่วนคดีทางปกครองซึ่งกระทรวงพาณิชย์มีคำสั่งให้ชดใช้ค่าเสียหาย 1,770 ล้านบาทนั้น ที่ผ่านมาได้ยื่นร้องขอทุเลาต่อศาลไปแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกศาลไม่ให้ทุเลาเพราะยังไม่มีการดำเนินการยึดอะไร หลังจากนั้นอีก 2 วันก็มายึดบัญชีหนึ่งบัญชี จึงไปยื่นขอทุเลาคำสั่งเป็นครั้งที่ 2 แต่ศาลเห็นว่าเงินน้อยก็เลยไม่มีคำสั่งให้ทุเลา หลังจากนั้นก็ตามมาอีก 8 บัญชี จึงไปยื่นขอทุเลาเป็นครั้งที่ 3 นัดไต่สวนวันที่ 18 ส.ค. ซึ่งจะต้องรอคำตัดสิน

“ตรงนี้กระทบมาก เพราะการอายัด 8 บัญชี ในนั้นมีเงินประกันตัวที่ศาลอยู่ด้วย เงินประกันนี้วันที่อ่านคำพิพากษา ไม่ว่าศาลจะอ่านออกมาว่ายกฟ้องหรือลงโทษก็แล้วแต่ เงินประกันต้องคืน ขั้นตอนศาลเป็นอย่างนั้น เพราะเราแสดงตัววันนั้นอยู่แล้ว สมมติ ศาลลงโทษ ผมก็ต้องใช้เงินอันนี้ประกันตัว แต่บังเอิญมาอายัดเงินประกัน ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง หรือจะไปหาเงินจากที่ไหนมา เงินไม่ใช่น้อยๆ ตั้ง 20 ล้าน”

"สู้มาขนาดนี้ไม่หนีไปไหน ยังไงมีโอกาสยกสองอุทธรณ์" บุญทรง เตริยาภิรมย์

บุญทรง เล่าให้ฟังว่า การอายัดเงินยังไปอายัดบัญชีของภรรยาเขาด้วย ทั้งที่ไม่ใช่ผู้ที่ให้ชำระค่าเสียหาย หรือหากจะอ้างว่าสินสมรส ก็เอาหมดไม่ได้ เพราะสินสมรสก็ครึ่งเดียว ขณะที่อสังหาริมทรัพย์อื่นๆ นั้นเขามีบัญชีอยู่แล้ว หากศาลไม่ให้ทุเลาเขาก็คงยึดอีก เพราะเรื่องนี้อ้างมาตรา 44

“ความเห็นส่วนตัวผมกับฝ่ายกฎหมาย เห็นว่าควรต้องรอผลคดีอาญาก่อน สมมติวันที่ 25 ส.ค. ศาลบอกบุญทรงไม่ผิด แล้วจะมาเรียกให้ผมชดใช้ได้ยังไง เขาควรรอเพราะเรื่องนี้อยู่ที่ศาลตั้งแต่ปี 2558 แต่เพิ่งจะมาเรียกให้ชดใช้ปี 2559 มีการออกคำสั่งเร่งกันหูดับตับไหม้ เอามาตรา 44 มาใช้ ​จะเอาให้ได้ ไม่รู้เหมือนกันทำไมไม่ฟ้อง มาอ้าง ​พ.ร.บ.ละเมิด​ออกคำสั่งได้เลย ไต่สวนก็ไม่ให้ชี้แจงอะไรเลย เอาบทสรุปจาก ​ป.ป.ช.มาเขียนเป็นคำสั่ง”

ส่วนกระแสวิพากษ์วิจารณ์มีการโยกย้ายโอนทรัพย์สินไปเป็นชื่อของคนอื่นก่อนหน้านี้เพื่อไม่ให้ถูกยึดทรัพย์นั้น บุญทรง ระบุว่า ไปดูบัญชีทรัพย์สินที่ ป.ป.ช.ได้ว่ามีอยู่เท่าไร ผมกับภรรยา 2 คน 10 กว่าล้านบาท ส่วน 20 ล้านบาท นี่กู้มาค้ำประกันในศาล ​ตอนแรกจะใช้หลักทรัพย์ ซึ่งมีแต่ชื่อภรรยา ที่แม่ยายให้มา ศาลบอกว่าต้องเป็นชื่อของตัวเอง จึงต้องไปหายืมสตางค์คนอื่น  เพราะที่ดิน บ้าน ไม่มีชื่อเรา ตั้งแต่ตอนนู้น ทำธุรกิจก็เป็นแบบกงสี พอเข้าการเมืองก็ให้พี่ให้น้อง เรามาอยู่การเมือง ออกจากกงสีมานานแล้ว

ถามว่า มีไปบนบานไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนบ้าง บุญทรง บอกว่า ไปหาพระเยอะมาก เรียนตรงๆ เราเป็นจำเลยถูกกล่าวหา เราก็เครียด ทุกคนคงเป็นเหมือนกัน เราก็จะไปวัดวา ทำบุญ ให้สบายใจ มีโอกาสหรือใครชวนก็ไป ไปสนทนาธรรมบ้าง หรือมีดูดวงบ้าง เป็นศาสตร์อย่างหนึ่ง เขาพูดดีเราก็สบายใจ ​

“ศาลที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด คือ องค์คณะทั้ง 9 องค์ ​การตัดสินอยู่ที่องค์คณะ 9 ท่าน เราจะไปวัดไปวา ศาลพระภูมิ ขออะไรก็ทำเพื่อความสบายจิตใจเรา อีกอย่างไม่ได้มาทำเฉพาะช่วงนี้ เราเป็นผู้แทนฯ ​ในพื้นที่งานเราก็ไปอยู่แล้ว ไปทำบุญวัดในพื้นที่ เจ้าอาวาสรู้จักเรา ก็ให้ศีลให้พร ให้ผ่านพ้นไปได้ นอกพื้นที่ จังหวัดอื่นๆ ก็ไปหมด แต่เราทำใจนะ ไม่ทราบศาลจะตัดสินแบบไหน แต่ก็คิดว่ายังไงเรายังมีโอกาสยกสอง อุทธรณ์​”

"สู้มาขนาดนี้ไม่หนีไปไหน ยังไงมีโอกาสยกสองอุทธรณ์" บุญทรง เตริยาภิรมย์

ส่วนอนาคตทางการเมืองนั้น ขณะนี้ บุญทรง ถูกถอดถอนและตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี ดังนั้น ในทางการเมืองก็คงต้องพักไปจนครบ 5 ปี ครบเมื่อไรก็ค่อยมาคิดกันอีกที อาจจะกลับหรือไม่กลับ ยังไม่ทราบ เพราะกระบวนการต่อสู้คดีเหล่านี้ยังไม่รู้สิ้นสุดตอนไหน นอกจากนี้ยังมีคดีอื่นๆ ที่ยังอยู่ในกระบวนการพิจารณาของ ป.ป.ช.หลายเรื่อง เรื่องที่เกี่ยวกับ ครม.ก็มี 7-8 เรื่อง เช่น เรื่องเงินชดเชย เรื่องงบลงทุนโครงการรถไฟเร็วสูง

คิดไหมก่อนตัดสินใจกระโดดเข้ามาเล่นการเมืองจะมีวันนี้ บุญทรง กล่าวว่า ไม่คิดเหมือนกัน ตอนนั้นปี 2543 ท่านทักษิณ ชินวัตร ตั้งพรรคใหม่ เป็นคนเชียงใหม่ด้วยกัน จบโรงเรียนเดียวกัน เมื่อเห็นว่ามีโอกาสทำเพื่อบ้านเมืองก็เข้าไปสมัครพรรคไทยรักไทย ลงเลือกตั้งปี 2544 ตอนนั้นกระแสท่านทักษิณแรง ก็เลยชนะเลือกตั้งทิ้งห่างคู่แข่ง ถ้าจำไม่ผิด จาก 10 เขตเชียงใหม่ ไทยรักไทยได้มา 9 เขต

ถามว่า ช่วงนี้อดีตนายกฯ ทักษิณ โทรมาให้กำลังใจไหม บุญทรง บอกว่า ท่านทักษิณไม่ได้โทรมา ส่วนใหญ่จะพบกับนายกฯ สมชาย และนายกฯ ยิ่งลักษณ์

“ท่านสมชายก็บอกว่าไม่ต้องกังวลอะไร อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผมก็ไปฟังคำตัดสินมาแล้ว (หัวเราะ) อย่าไปคิดอะไรมาก เราทำดีที่สุดแล้ว ถ้าเรามั่นใจว่าได้นำพยานหลักฐานไปต่อสู้คดีแล้วเราก็ให้สบายใจ ศาลคงจะให้ความเป็นธรรม”

คำถามสุดท้ายเข็ดไหม บุญทรง คิดเล็กน้อยก่อนตอบสั้นๆ ว่า “ก็ขยาดอยู่นะ...”