posttoday

ดร.มัณฑิตาเผย ถ้าไม่ปรับตัวในยุค AI เราอาจไม่รอดใน 10 ปีข้างหน้า

12 พฤศจิกายน 2568

ดร.มัณฑิตา ชี้ AI คือหัวใจใหม่ของธุรกิจยุคนี้ ผู้นำต้องเริ่มก่อน ปรับระบบ-คน-วิสัยทัศน์ ใช้ AI เพิ่มประสิทธิภาพ สร้างการตลาดเฉพาะบุคคล และยืนหยัดด้วยจริยธรรม

KEY

POINTS

  • ผู้นำองค์กรต้องเป็นผู้ริเริ่มและให้ความสำคัญกับการนำ AI มาปรับใช้ เพื่อให้ธุรกิจสามารถอยู่รอดและเติบโตได้ในอนาคต
  • AI สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจได้หลายด้าน เช่น การลดขั้นตอนการทำงาน การส่งเสริมการตลาด และการสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคล (Personalization) ให้กับลูกค้า
  • นอกจากการใช้เครื่องมือแล้ว การปรับตัวยังรวมถึงการพัฒนาทักษะบุคลากรให้สามารถตั้งคำถามที่ถูกต้องและใช้งาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปกับความรับผิดชอบและจริยธรรม

วันนี้ ดร.มัณฑิตา จินดา Founder & Managing Director, Digital Tips Academy ได้กล่าวในงาน 55th Nation Group THAILAND’s NEW PROSPECT ด้วยหัวข้อ SME Reinvention: พลิกธุรกิจให้รอดและรุ่งในยุค AI ว่า

 

นับตั้งแต่เปิดตัว ChatGPT เป็นต้นมา โลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากเดิมที่เราตั้งคำถามว่า ควรนำ AI เข้ามาใช้งานดีหรือไม่ เปลี่ยนเป็นจะนำ AI เข้ามาใช้งานในรูปแบบไหนและใช้ประโยชน์ได้เพียงไร AI กลายเป็นสิ่งที่มีความจำเป็นต่อภาคธุรกิจอย่างแท้จริง และหากเราไม่ปรับตัว ธุรกิจก็อาจอยู่ไม่รอดในอีก 10 ปีข้างหน้า

 

สำหรับ SME เจ้าของกิจการหรือผู้นำบริษัทถือเป็นหัวใจหลักและทุกอย่างของบริษัท นี่เป็นเหตุผลให้การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ต้องเริ่มจากการที่ผู้นำเห็นคุณค่า ให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนผ่านไปสู่ AI อย่างเต็มรูปแบบเสียก่อน จึงจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงต่อภาพรวมธุรกิจได้

 

แรกสุดที่ต้องทำคือ การออกแบบระบบ AI ช่วยย่นและลดเวลาการทำงานที่ในอดีตลงมาก ทั้งการสรุปรวมรวบข้อมูลการขายและการตลาดเพื่อนำไปใช้ต่อ โดยเฉพาะการเข้ามาของ AI ส่งเสริมการขาย ที่ช่วยให้เราสามารถจัดทำคลิปวีดีโอสำหรับการโปรโมทสินค้าออกมาได้ในไม่กี่วินาที สิ่งนี้ช่วยพลิกโฉมการตลาดไปโดยสิ้นเชิง

 

ส่วนที่ AI สามารถนำมาใช้ประโยชน์ในส่วนนี้ได้คือ Personalization การนำข้อมูลของลูกค้าหรือผู้บริโภคมาปรับแต่ง เพื่อสร้างการตอบสนองเฉพาะบุคคลโดยอาศัยข้อมูลลูกค้าคนดังกล่าว สิ่งนี้จะช่วยสร้างความพอใจในการใช้งาน และช่วยดึงดูดลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

 

การเข้ามาของ AI ช่วยให้การ Personalization สามารถสเกลอัปขึ้นได้อย่างน่าทึ่ง กรณีตัวอย่างในส่วนนี้คือ L'Oréal ที่มีการพัฒนา AI ช่วยดูแลผิวพรรณลูกค้า โดยการส่งภาพถ่ายเซลฟี่ใบหน้าของผู้ใช้งานเข้าสู่ระบบ AI จะทำการประเมินและแนะนำผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมให้ได้ทันที คล้ายกับการได้รับคำปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ สร้างความพอใจแก่ลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง

 

อันดับถัดมาคือ การตั้งคำถาม การสืบค้นและรวบรวมข้อมูลในปัจจุบันเป็นเรื่องง่ายจากการมาถึงของ AI Chabot เราสามารถเข้าถึงคำตอบที่มีประสิทธิภาพได้ด้วยต้นทุนที่ถูกลง แต่การตั้งคำถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงความต้องการยังคงเป็นหน้าที่ของคนเรา ส่วนนี้ก็ถือเป็นหน้าที่ของผู้นำที่ต้องปรับตัวด้วยเช่นกัน

 

ส่วนสุดท้ายคือ มองไปในอนาคต นอกจากผู้นำจะต้องมีวิสัยทัศน์และความตั้งใจปรับเปลี่ยนนำ AI มาใช้งาน ยังอาจต้องขยับบทบาทของตัวเองออกมาให้น้อยลง พร้อมเริ่มเตรียมพนักงานและบุคลากรในบริษัทให้เรียนรู้วิธีใช้งาน มีความเข้าใจ และสามารถประยุกต์ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ที่สำคัญไม่แพ้กับความเข้าใจในการใช้งานคือ ความรับผิดชอบและจริยธรรมในการใช้ AI อย่างที่เราทราบดี AI ทำได้หลายอย่างแต่ก็อาจก่อให้เกิดปัญหาได้มากมาย เป็นหน้าที่ของผู้นำและองค์กรที่จะชี้นำพนักงานให้สามารถใช้ AI ได้อย่างถูกต้องและมีจริยธรรม เพื่อสอดรับกับยุคสมัยแห่ง AI ที่กำลังจะมาถึง

ข่าวล่าสุด

กัมพูชาเปิดฉากยิงช่องอานม้า ฝ่ายไทยสูญเสีย ยังปะทะเดือด