ผู้สร้าง ChatGPT ออกโรงเตือน! หวั่นกระแส AI ซ้ำรอยวิกฤตฟองสบู่แตก
Sam Altman ซีอีโอ OpenAI ผู้สร้าง ChatGPT หวั่น AI เข้าสู่ภาวะ "ฟองสบู่แตก" หลังเม็ดเงินลงทุนสะพัดสูงจนเกินระดับควบคุม
ดูเหมือนว่ากระแสคลั่งไคล้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ตัวเขาเป็นผู้จุดชนวนให้ลุกโชนไปทั่วโลกด้วย ChatGPT ในช่วงปลายปี 2022 กำลังย้อนกลับมาสร้างความกังวลใจให้กับ Sam Altman ซีอีโอแห่ง OpenAI เสียเอง
เมื่อเขาเริ่มมองเห็นสัญญาณอันตรายของภาวะ ‘ฟองสบู่’ ที่อาจก่อตัวขึ้นในอุตสาหกรรม ตามรายงานจาก CNBC
Altman ชี้ว่า สมัยนี้สตาร์ทอัพใหม่ๆ มีแค่สไลด์ไอเดีย Pitch Deck ไม่กี่หน้า แต่หาเงินได้เป็นร้อยๆ ล้านดอลลาร์ ทำให้มูลค่าบริษัทพุ่งไปไกลแบบสุดๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเพราะนักลงทุนกระเป๋าหนักต่างรีบวิ่งไล่หา "ไอเดียที่ดูมีอนาคต" กันให้วุ่น
อย่างไรก็ตาม แม้จะแสดงความกังวล แต่ซีอีโอ OpenAI ก็ยังเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าประโยชน์ของ AI ในระยะยาวนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะมองข้ามความผันผวนในระยะสั้นได้ และเขาก็พร้อมจะทุ่มเงินลงทุนมหาศาลต่อไปเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายนั้น
"ถามว่านักลงทุนกำลังเห่อ AI กันเกินไปมั้ย? ก็ต้องยอมรับว่าใช่ครับ" Altmanกล่าว
"แต่ถ้าถามว่ามันคือเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในรอบหลายปีนี้หรือเปล่า? อันนี้ก็ใช่อีกเหมือนกัน"
ทว่าคำเตือนเรื่องมูลค่าบริษัทที่เกินจริงของ Altman กลับสวนทางกับการที่เขาพร้อมจะทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มเติม
"คุณเตรียมตัวไว้ได้เลยว่า OpenAI จะใช้เงินหลายล้านล้านดอลลาร์เพื่อสร้างศูนย์ข้อมูลในอนาคตอันใกล้นี้" Altmanกล่าว
"แล้วคุณก็จะได้เห็นนักเศรษฐศาสตร์กุมขมับแล้วพูดว่า ‘นี่มันบ้าไปแล้ว เสี่ยงเกินไป’ แต่เราก็จะแค่บอกว่า ‘ปล่อยให้เราทำงานของเราไปเถอะ’"
ปัจจุบัน OpenAI กำลังมองหาขุมพลังการประมวลผลที่นอกเหนือไปจากคลาวด์ของ Microsoft Azure และเจรจากับผู้ให้บริการรายอื่นเพิ่มเติม
โดย Altman เผยว่าความต้องการพลังประมวลผลของบริษัทนั้น "เกินกว่าที่ผู้ให้บริการคลาวด์ยักษ์ใหญ่เพียงรายเดียวจะรองรับได้"
บิ๊กเทคฯ ไม่น้อยหน้า แห่ทุ่มงบลงทุนมหาศาล
ไม่ใช่แค่ OpenAI ที่เร่งเครื่องเต็มกำลัง บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่างก็กำลังทุ่มงบประมาณมหาศาลเพื่อไล่ตามให้ทันเช่นกัน
โดยในรายงานผลประกอบการล่าสุด แต่ละบริษัทได้ปรับเพิ่มคาดการณ์งบลงทุน (Capital Expenditure) เพื่อรองรับเทรนด์ AI อย่างพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็น:
- Microsoft: ตั้งเป้าไว้ที่ 1.2 แสนล้านดอลลาร์
- Amazon: ทะลุ 1 แสนล้านดอลลาร์
- Alphabet (Google): เพิ่มเป็น 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์
- Meta (Facebook): ขยับเพดานสูงสุดไปอยู่ที่ 7.2 หมื่นล้านดอลลาร์
Dan Ives นักวิเคราะห์จาก Wedbush กล่าวในรายการ "Closing Bell" ของ CNBC ว่านี่คือ "ช่วงวัดใจ" ของวงการ AI และยอมรับว่าตลาดมี "ภาวะเก็งกำไรที่สูงอยู่บ้าง"
แต่ก็ย้ำว่าการปฏิวัติด้วย AI และระบบอัตโนมัตินั้น "ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่" หรือ "ยังเป็นเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นเท่านั้น"
ในทางกลับกัน Rob Rowe จาก Citi ได้ออกมาแสดงความเห็นที่แตกต่าง โดยไม่เห็นด้วยกับการเปรียบเทียบความเฟื่องฟูของ AI ในปัจจุบันกับวิกฤตฟองสบู่ดอทคอม
"ถ้ามองย้อนกลับไปในตอนนั้น สถานการณ์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยบริษัทที่ก่อหนี้สินเกินตัวและส่วนมากก็ไม่มีกำไร" Rowe กล่าวในรายการ "Money Movers" ของ CNBC
"แต่ในปัจจุบัน บริษัทที่เรากำลังพูดถึงกลับมีกำไรที่แข็งแกร่งมาก มีกระแสเงินสดที่ทรงพลัง และใช้เงินทุนจากกระแสเงินสดนั้นมาขับเคลื่อนการเติบโต ดังนั้น มันจึงแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง"
เขายังเสริมอีกว่า การที่บริษัทต่างๆ ทุ่มเงินลงทุนด้าน AI ในขณะนี้ เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะธุรกิจบริการดิจิทัลที่เติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นส่วนสำคัญของการส่งออกทั่วโลกไปแล้ว
แต่สิ่งที่แตกต่างจากยุคฟองสบู่ดอทคอมคือ ปัจจุบันบริษัทเหล่านี้ใช้เงินสดในมือของตัวเองมาลงทุนสร้างพื้นฐาน ไม่ได้พึ่งพาการกู้ยืมเหมือนในอดีต
ในมุมมองของ Altman วัฏจักรเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติของความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เขายกตัวอย่างวิกฤตดอทคอมที่แม้จะทำให้หลายบริษัทต้องล้มหายตายจากไป
แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นจุดกำเนิดของอินเทอร์เน็ตยุคใหม่ เขาจึงคาดว่าเส้นทางของ AI ก็จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คืออาจเกิดการล่มสลายครั้งใหญ่ขึ้นก่อน แต่สุดท้ายจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน
"ผมคิดว่านักลงทุนบางรายอาจจะเจ็บตัวหนักมากในเรื่องนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเสียใจ" เขาทิ้งท้าย
"แต่ในภาพรวม ผมเชื่อมั่นว่า...คุณค่าที่ AI จะสร้างให้กับสังคมนั้นมหาศาลอย่างแน่นอน"


