NASA-Google ผนึกกำลังปั้น 'หมอ AI' คู่ใจนักบินอวกาศ ลุยดาวอังคาร
พลิกโฉมการดูแลสุขภาพนอกโลก! NASA-Google ผนึกกำลังปั้น 'หมอ AI อัจฉริยะ' คู่ใจนักบินอวกาศ ลุยภารกิจเหยียบดาวอังคาร
ความฝันของมนุษยชาติในการเดินทางสู่ดาวอังคารกำลังใกล้ความจริงเข้ามาทุกขณะ แต่หนึ่งในอุปสรรคสำคัญที่สุดคือการดูแลสุขภาพของนักบินอวกาศเมื่อต้องอยู่ห่างไกลจากโลกเป็นเวลานาน
ล่าสุด สำนักข่าว Techcrunch รายงานว่า องค์การนาซา (NASA) และยักษ์ใหญ่เทคโนโลยีอย่าง Google จึงได้จับมือกันพัฒนาเทคโนโลยีที่จะมาพลิกโฉมการแพทย์ในอวกาศ
สำหรับการปฏิบัติภารกิจบนสถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) ในปัจจุบัน นักบินอวกาศยังสามารถติดต่อกับศูนย์ควบคุมที่ฮิวสตันได้ตลอดเวลา
มีการส่งกำลังบำรุงและเวชภัณฑ์ให้อย่างต่อเนื่อง และสามารถกลับสู่โลกได้หากมีเหตุจำเป็น แต่สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อ NASA และ SpaceX ของอีลอน มัสก์ กำลังวางแผนภารกิจที่จะส่งมนุษย์ไปใช้ชีวิตในระยะยาวบนดวงจันทร์และดาวอังคาร
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับภารกิจสำรวจอวกาศที่ซับซ้อนและยาวนานขึ้นในอนาคต NASA ได้ริเริ่มโครงการพัฒนาระบบการแพทย์ในวงโคจรเพื่อลดการพึ่งพาทีมแพทย์บนโลก
โดยได้ร่วมมือกับ Google ในโครงการทดลองแรกคือ Crew Medical Officer Digital Assistant (CMO-DA) ซึ่งเป็นระบบผู้ช่วยแพทย์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI)
เป้าหมายหลักของโครงการนี้ คือเพื่อช่วยเหลือนักบินอวกาศในการตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการป่วยเบื้องต้น ในสถานการณ์ฉุกเฉินที่การสื่อสารมายังโลกทำได้ล่าช้าหรือถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง
หัวใจของระบบนี้คือ AI แบบ Multimodal ที่ชาญฉลาด สามารถรับข้อมูลได้ทั้งเสียงพูด ข้อความ และรูปภาพ เพื่อประมวลผลบนแพลตฟอร์ม VertexAI ของ GoogleCloud
ภายใต้ข้อตกลงที่ NASA เป็นเจ้าของซอร์สโค้ดและมีส่วนร่วมโดยตรงในการฝึกสอน AI ให้เฉียบคมยิ่งขึ้น
ทั้งสององค์กรได้ร่วมกันทดสอบประสิทธิภาพของ CMO-DA ผ่าน 3 สถานการณ์จำลองทางการแพทย์ ได้แก่ อาการบาดเจ็บที่ข้อเท้า, อาการปวดสีข้าง (ซึ่งอาจเป็นสัญญาณของนิ่วในไต) และอาการปวดหู
โดยมีทีมแพทย์ 3 คน ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นนักบินอวกาศ ร่วมกันประเมินความสามารถของผู้ช่วย AI ในด้านการประเมินอาการเบื้องต้น การซักประวัติผู้ป่วย การให้เหตุผลทางการแพทย์ และการวางแผนการรักษา
ผลการทดสอบพบว่า CMO-DA มีความแม่นยำในการวินิจฉัยสูง โดยทีมแพทย์ลงความเห็นว่า การประเมินและแผนการรักษาอาการปวดสีข้างมีความถูกต้อง 74%, อาการปวดหู 80% และ การบาดเจ็บที่ข้อเท้ามีความแม่นยำสูงสุดถึง 88%
สำหรับแผนการพัฒนาในอนาคตจะเป็นไปแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยทีมนักวิทยาศาสตร์ของ NASA ระบุในเอกสารนำเสนอว่า
พวกเขาวางแผนที่จะเพิ่มแหล่งข้อมูลอื่นๆ เข้าไปในระบบ เช่น ข้อมูลจากอุปกรณ์ทางการแพทย์ และจะฝึกให้โมเดลมีความ "ตระหนักรู้ตามสถานการณ์" (situationally aware) มากขึ้น โดยเฉพาะสภาวะที่จำเพาะต่อการแพทย์อวกาศ เช่น ภาวะไร้น้ำหนัก (microgravity)
คำถามที่น่าสนใจคือเทคโนโลยีล้ำยุคนี้จะถูกนำมาปรับใช้บนโลกจริงหรือไม่ ซึ่งแม้ Google ยังไม่ยืนยัน แต่ก็มีความเป็นไปได้สูงมาก หาก "หมอ AI" สามารถพิสูจน์ประสิทธิภาพในอวกาศได้สำเร็จ


