เจาะเส้นทาง Huawei จากยักษ์ใหญ่ถูกสกัดดาวรุ่ง สู่ผู้นำ AI
เจาะเส้นทาง Huawei จากยักษ์ใหญ่ที่เคย 'เจ็บหนัก' เพราะโดนสหรัฐฯ แบน สู่การพลิกเกมผงาดขึ้นเป็นผู้นำ AI ครบวงจรของจีนที่กำลังหายใจรดต้นคอเจ้าตลาดโลกอย่าง Nvidia
ใครจะคิดว่าบริษัทที่ครั้งหนึ่งเคย 'เจ็บหนัก' จากมาตรการแบนของสหรัฐอเมริกา จะกลับมาผงาดได้อย่างยิ่งใหญ่ในวันนี้ Huawei ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมจากจีน ไม่เพียงแต่ลุกขึ้นยืนได้
แต่ยังพลิกบทบาทตัวเองกลายเป็นผู้เล่นที่ครบเครื่องและน่ากลัวที่สุดในสมรภูมิปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของประเทศ ชนิดที่ว่ากำลังหายใจรดต้นคอ Nvidia เจ้าพ่อชิป AI ของโลกเลยทีเดียว ตามรายงานจากสำนักข่าว CNBC
จากผู้ถูกไล่ล่า สู่ผู้ท้าชิงบัลลังก์
"Huawei ถูกสถานการณ์บีบคั้นให้ต้องยกเครื่องธุรกิจตัวเองครั้งใหญ่" พอล ทริโอโล ผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทที่ปรึกษา DGA-Albright Stonebridge Group วิเคราะห์
"แรงกดดันจากภายนอกทำให้พวกเขาต้องหาทางรอด และทางรอดนั้นคือการทำทุกอย่าง"
และ "ทุกอย่าง" ที่ว่านี้ก็คือทุกอย่างจริงๆ ตั้งแต่รถยนต์ไฟฟ้าอัจฉริยะ, ระบบปฏิบัติการของตัวเอง, ไปจนถึงเทคโนโลยีหัวใจของยุค AI ทั้งชิปประมวลผลขั้นสูง, ศูนย์ข้อมูล (Data Center) ขนาดมหึมา และโมเดล AI ของตนเอง
"ในโลกนี้แทบไม่มีบริษัทเทคโนโลยีไหนอีกแล้ว ที่กระโดดเข้ามาทำธุรกิจที่ซับซ้อนและมีกำแพงสูงขนาดนี้ได้พร้อมๆ กัน" ทริโอโลกล่าวเสริม
ความน่าเกรงขามนี้ดังไปถึงหูของ เจนเซน หวง ซีอีโอของ Nvidia ที่ออกมายอมรับอย่างเปิดอกว่า Huawei คือ "หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีที่น่ากลัวที่สุดในโลก"
พร้อมทั้งเตือนว่า หากสหรัฐฯ ยังคงสกัดกั้นบริษัทชิปอเมริกันไม่ให้ค้าขายกับจีนต่อไป ก็เท่ากับปูทางให้ Huawei เข้ามาเสียบแทนที่ Nvidia ในตลาดจีนทั้งหมด
สถานการณ์นี้ยิ่งน่าจับตา เมื่อรู้ว่า Nvidia คือบริษัทที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก AI ในปัจจุบัน ด้วยชิปประมวลผลและซอฟต์แวร์ที่ชื่อว่า "CUDA" ซึ่งเปรียบเสมือน 'คัมภีร์' ที่นักพัฒนา AI ทั่วโลกต้องใช้
แต่ดูเหมือนว่ากำแพงที่เคยสูงตระหง่านนี้กำลังสั่นคลอน เมื่อ Huawei พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ได้แค่ทำได้ แต่ทำได้ดีเสียด้วย
ย้อนกลับไปในปี 2019 Huawei กำลังไปได้สวยในฐานะผู้นำ 5G และผู้ผลิตสมาร์ทโฟนเบอร์ต้นๆ ของโลก แต่ต้องเผชิญกับ 'หมัดน็อก' ครั้งใหญ่
เมื่อถูกรัฐบาลสหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำทางการค้า (Trade Blacklist) ผลลัพธ์คือธุรกิจฝั่งผู้บริโภคที่เคยเป็นเส้นเลือดใหญ่ ต้องเผชิญกับรายได้ที่หดตัวลงกว่าครึ่งหนึ่งทันที
ทว่า สิ่งที่สหรัฐฯ ทำ กลับกลายเป็น 'ยาโด๊ป' ชั้นดีที่เร่งให้ Huawei ต้องสร้างทุกอย่างขึ้นมาเอง
จากที่เคยพึ่งพาเทคโนโลยีจากภายนอก พวกเขากลายเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้และกลายเป็น "แชมป์ของชาติ" ที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนอย่างเต็มที่ เพื่อสร้างเทคโนโลยี AI ของตัวเองให้สำเร็จ
หลังจากซุ่มเงียบอยู่พักใหญ่ ในปี 2023 Huawei ก็สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งวงการ ด้วยการเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมชิป 5G ซึ่งผลิตในประเทศจีนได้เอง
โดยร่วมมือกับ SMIC บริษัทชิปสัญชาติจีน (ที่โดนแบนเช่นกัน) เป็นสัญญาณบอกว่า "พวกเขากลับมาผงาดแล้ว"
จากนั้นไม่นาน Huawei ก็เปิดไพ่ใบสำคัญ นั่นคือชิป AI ของตัวเองในตระกูล Ascend (เช่น Ascend 910B และ 910C ที่กำลังจะมา) เพื่อเข้ามาท้าชิงส่วนแบ่งตลาดโดยตรงจาก Nvidia ที่ถูกจำกัดการส่งออก
นอกจากนี้ยังพัฒนาระบบนิเวศซอฟต์แวร์ของตัวเองในชื่อ "CANN" ขึ้นมาเป็นทางเลือกแทน CUDA อีกด้วย
ความก้าวหน้าของ Huawei ไม่ได้หยุดแค่ตัวชิป แต่ยังรวมถึงการสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์สำหรับ AI อย่าง "AI CloudMatrix 384" ที่สามารถเชื่อมต่อชิป Ascend ได้เกือบ 400 ตัวเข้าด้วยกัน
จนนักวิเคราะห์จาก Forrester ถึงกับบอกว่า Huawei "กำลังเขียนนิยามใหม่ให้กับโครงสร้างพื้นฐานของ AI"
กลยุทธ์ 'Ascend Ecosystem
สิ่งที่ทำให้ Huawei น่ากลัว คือพวกเขาไม่ได้มองแค่การผลิตชิป แต่กำลังสร้าง 'ระบบนิเวศ' หรือ Ecosystem ทั้งหมดแบบครบวงจร:
- ต้นน้ำ (ชิป): ผลิตชิป AI ตระกูล Ascend ของตัวเอง
- กลางน้ำ (พลังประมวลผล): นำชิปไปสร้างศูนย์ข้อมูลผ่านธุรกิจ Huawei Cloud
- ปลายน้ำ (โมเดลและแอปพลิเคชัน): ใช้พลังประมวลผลนั้นฝึกฝนโมเดล AI ของตัวเองในชื่อ "Pangu"
โมเดล Pangu ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อแข่งขันกับ AI ทั่วไปอย่าง ChatGPT แต่เน้นการใช้งาน 'เฉพาะทาง' ในภาคอุตสาหกรรม เช่น การแพทย์, การเงิน, เหมืองแร่ หรือยานยนต์ ซึ่งเป็นแนวทางที่จับต้องได้และสร้างรายได้จริง
ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ โปรเจกต์ในเหมืองถ่านหิน ที่ทีมงาน Huawei ลงพื้นที่จริงเป็นเวลาหลายเดือนเพื่อพัฒนาระบบ
จนสามารถสร้างกองทัพรถบรรทุกไฟฟ้าไร้คนขับกว่า 100 คันให้ทำงานได้เองโดยใช้เทคโนโลยี 5G, AI และ Cloud ของบริษัท
ก้าวต่อไปของ Huawei ปักหมุดทั่วโลก
Huawei กำลังใช้กลยุทธ์ที่หลายคนคุ้นเคย เป็นภาพเดจาวูของวันที่พวกเขาบุกเบิกตลาดโทรคมนาคม คือการนำเทคโนโลยี AI และระบบนิเวศ Ascend ทั้งหมด
ไปเจาะตลาดในกลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศ "หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง" (Belt and Road Initiative) ยุทธศาสตร์การพัฒนาระดับโลกขนาดใหญ่ที่ริเริ่มโดยรัฐบาลจีนในปี 2013 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง
ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่า ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า Huawei อาจสร้างฐานที่มั่นในประเทศเหล่านี้ได้อย่างแข็งแกร่ง จากบริษัทที่เกือบจะล้มทั้งยืนเพราะมาตรการคว่ำบาตร
วันนี้ Huawei ไม่เพียงแต่กลับมาอย่างแข็งแกร่ง แต่ยังอยู่ในตำแหน่งที่จะท้าทายผู้นำเทคโนโลยีของโลกในสมรภูมิที่สำคัญที่สุดแห่งยุคสมัยอย่าง AI ได้อย่างสมศักดิ์ศรี


