เจาะกลยุทธ์สลัดภาพจีน Manus ตัดขาดแผ่นดินแม่ ย้ายฐานสู่สิงคโปร์
Manus AI สตาร์ทอัพดาวรุ่งเชื้อสายจีน เดินกลยุทธ์ตัดขาดแผ่นดินแม่ ย้ายสำนักงานใหญ่ ปลดพนักงานจีน ลบทุกร่องรอยบนโซเชียลมีเดียแผ่นดินใหญ่ หวังเอาใจนักลงทุนตะวันตก
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา Manus สตาร์ทอัพสัญชาติจีน ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการเปิดตัว AI Agent (ผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์) ที่โด่งดังเป็นไวรัลอย่างถล่มทลาย
การแจ้งเกิดของ Manus เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ DeepSeek กำลังเป็นที่จับตา ทำให้กระแสความตื่นเต้นในความก้าวหน้าด้าน AI ของจีนพุ่งถึงขีดสุด
และไม่มีใครอยากพลาดคลื่นลูกใหม่ที่อาจกลายเป็นดาวเด่นดวงต่อไป
แต่มาถึงวันนี้ Manus กลับกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อสลัดภาพการเป็นบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับจีนแผ่นดินใหญ่
Manus ได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังประเทศสิงคโปร์ ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสามคนก็ได้ย้ายถิ่นฐานตามไปติดๆ
นอกจากนี้ ตามรายงานจาก Bloomberg เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Butterfly Effect ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Manus ได้ ปลดพนักงานในจีนออกทั้งหมด
แถมยังลบเนื้อหาทั้งหมดออกจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนอย่าง Weibo และ Xiaohongshu (หรือ RedNote) จนเกลี้ยง
แต่ยังคงความเคลื่อนไหวบนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) อย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงยังไม่จบแค่นั้น เพราะสัปดาห์นี้ ผู้ใช้งานในจีนที่พยายามเข้าเว็บไซต์ของ Manus กลับพบข้อความว่า "ไม่สามารถให้บริการในภูมิภาคของคุณได้"
ซึงต่างจากประกาศก่อนหน้านี้ที่เคยระบุว่ากำลังพัฒนาเว็บไซต์เวอร์ชันภาษาจีนอยู่
ภาวะภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน ได้บีบบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากการยืนอยู่บนทางสองแพร่ง
คือ จะยังอยู่ในตลาดบ้านเกิดที่การแข่งขันดุเดือด หรือจะมุ่งหน้าสู่การเติบโตในต่างแดนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า และแน่นอนว่าคงไม่สามารถเลือกได้ทั้งสองทาง
ทำไมกลยุทธ์ 'สลัดภาพจีน' ถึงเป็นกับดัก
การย้ายฐานไปต่างประเทศอาจหมายถึงกระบวนการสุดหินที่ Manus ต้องพยายาม "ล้างภาพ" ความเป็นจีนออกไปจากตัวตนของบริษัท ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง
เพราะรากฐานความเป็นจีนนี่แหละคือ จุดเริ่มต้นความสำเร็จ ของ Manus เลยก็ว่าได้
นอกจากนี้ บริษัทจีนยังมีข้อได้เปรียบในเชิงเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน ด้วยการเข้าถึงแหล่งรวมวิศวกรมากความสามารถในราคาจับต้องได้และมีวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งขัน
ที่สำคัญที่สุด คือการรีแบรนด์เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่น่ากังขา มักไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักในแง่ธุรกิจ
การตัดสินใจของ Manus ที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นบริษัทสิงคโปร์ เกิดขึ้นหลังจากเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสหรัฐฯ
เมื่อ Benchmark บริษัทร่วมลงทุน (Venture Capital) ชื่อดังแห่งซิลิคอนแวลลีย์ (ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ eBay และ Uber ในยุคแรก) ประกาศนำการระดมทุนรอบใหม่มูลค่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ Butterfly Effect
กลุ่ม VC (Venture Capital) อื่น ๆ พากันออกมาโจมตี Benchmark อย่างหนัก โดยกล่าวหาว่า "ไปลงทุนกับศัตรู" และเปรียบเทียบว่าเหมือนกับที่สหรัฐฯ เคยสนับสนุนรัสเซียในยุคสงครามอวกาศเลยทีเดียว
แถมแผนการลงทุนนี้ยังถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพ่งเล็งเป็นพิเศษ ภายใต้กฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในเทคโนโลยีบางประเภทของจีนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่ Manus จะสามารถลบป้ายความเป็นจีนออกจากเรื่องราวของบริษัทได้ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามขนาดนี้
จี้ อีเฉา (Ji Yichao) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เคยขึ้นปกนิตยสาร Forbes China มาแล้วเมื่อราว 10 กว่าปีก่อน ในฐานะหนึ่งใน 30 ผู้ประกอบการอายุน้อย (ต่ำกว่า 30 ปี) ที่น่าจับตาของประเทศ
ที่สำคัญคือ สื่อของทางการจีนเองก็เคยเชิดชูความสำเร็จของ Manus มาก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าพยายามจะลบภาพความเป็นจีนออกไป ก็เสี่ยงที่จะถูกคนในประเทศต่อต้านได้
🚇 Spotted @ManusAI_HQ at Singapore Raffles Place train station?
— ManusAI (@ManusAI_HQ) July 1, 2025
From airports to highways and now the heart of Singapore’s CBD — Manus is showing up where knowledge workers hustle.
Singapore’s business heart beats at Raffles Place, so does your 24/7 AI that delivers results.… pic.twitter.com/8ewoPJAS5h
บทเรียนจาก TikTok และ HeyGen
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น TikTok แอปฯ ดังจาก ByteDance Ltd. พยายามอย่างหนักที่จะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ว่าเป็นบริษัทอเมริกันและสิงคโปร์ เพื่อคลายความกังวลของรัฐบาลวอชิงตันเกี่ยวกับต้นกำเนิดในกรุงปักกิ่ง
แต่ความพยายามทั้งหมดก็ไม่เป็นผล เพราะเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายที่บีบให้บริษัทแม่ต้องขายกิจการแอปฯ นี้ ซึ่งแม้แต่ในจีนแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ได้เปิดให้บริการด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นจะโดนแบนจากประเด็นความมั่นคงของชาติ ซึ่งถือว่าไม่ใช่ลางดีสำหรับ Manus เลยก็ว่าได้
ปัจจุบัน อุตสาหกรรม AI กลายเป็นเป้าโจมตีสำคัญของ นักการเมืองสายเหยี่ยวในสหรัฐฯ ที่มองว่าแอปพลิเคชัน AI สำหรับผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีจากคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นภัยคุกคาม
ถึงแม้ HeyGen สตาร์ทอัพวิดีโอ AI ที่ย้ายฐานจากจีน จะสามารถระดมทุนและได้ลูกค้าชาวอเมริกันจำนวนมาก แต่ก็ยังคงถูกเพ่งเล็งจากฝ่ายนิติบัญญัติเรื่องความเชื่อมโยงที่อาจมีกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ผู้ร่วมก่อตั้งของ HeyGen กล่าวว่ามัน "น่าผิดหวัง" ที่ต้องเห็นมรดกทางเชื้อชาติของเขาถูกปฏิบัติราวกับเป็นสิ่งที่น่าละอาย ซึ่งเบื้องหลังความกังวลด้านความมั่นคงของชาตินั้น ก็เจือปนด้วยทัศนคติที่หวาดกลัวชาวต่างชาติ (xenophobia) อย่างปฏิเสธไม่ได้
การพุ่งเป้าไปที่บริษัทเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคโดยอิงจากสัญชาติของผู้ก่อตั้งเป็นกลยุทธ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ หากสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่ข้อมูลอาจรั่วไหลไปยังประเทศจีน หรืออัลกอริทึมอาจถูกชี้นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน
ก็ควรหันมาใช้กฎระเบียบที่ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นตาอย่าง AI Agent ของ Manus มาตรฐานสำหรับทั้งอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด
เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ซอฟต์แวร์สามารถทำงานที่ซับซ้อนขึ้นได้ด้วยตัวเองนั้น มีความเสี่ยงเฉพาะตัวแฝงอยู่ เช่น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดข้อผิดพลาด และเราควรปล่อยให้เครื่องจักรมีอำนาจควบคุมมากน้อยเพียงใด
ผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกควรจัดการกับข้อกังวลเหล่านี้ โดยไม่คำนึงว่า AI Agent นั้นจะมาจากที่ใด
การกีดกันคนเก่งและนักคิดหัวกะทิออกจากซิลิคอนแวลลีย์ก็เหมือนการปิดหูปิดตาตัวเองจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
ท้ายที่สุดแล้ว อเมริกาเองนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าหันมาสนับสนุนและดึงดูดผู้ก่อตั้งบริษัทที่มีความสามารถเหล่านี้ให้เข้ามาสร้างความก้าวหน้าในสหรัฐฯ


