posttoday

เจาะกลยุทธ์สลัดภาพจีน Manus ตัดขาดแผ่นดินแม่ ย้ายฐานสู่สิงคโปร์

17 กรกฎาคม 2568

Manus AI สตาร์ทอัพดาวรุ่งเชื้อสายจีน เดินกลยุทธ์ตัดขาดแผ่นดินแม่ ย้ายสำนักงานใหญ่ ปลดพนักงานจีน ลบทุกร่องรอยบนโซเชียลมีเดียแผ่นดินใหญ่ หวังเอาใจนักลงทุนตะวันตก


 

เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา Manus สตาร์ทอัพสัญชาติจีน ได้สร้างปรากฏการณ์ด้วยการเปิดตัว AI Agent (ผู้ช่วยปัญญาประดิษฐ์) ที่โด่งดังเป็นไวรัลอย่างถล่มทลาย 

 

การแจ้งเกิดของ Manus เกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกับที่ DeepSeek กำลังเป็นที่จับตา ทำให้กระแสความตื่นเต้นในความก้าวหน้าด้าน AI ของจีนพุ่งถึงขีดสุด

 

และไม่มีใครอยากพลาดคลื่นลูกใหม่ที่อาจกลายเป็นดาวเด่นดวงต่อไป

 

แต่มาถึงวันนี้ Manus กลับกำลังทำทุกวิถีทางเพื่อสลัดภาพการเป็นบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกับจีนแผ่นดินใหญ่

 

Manus ได้ย้ายสำนักงานใหญ่ไปยังประเทศสิงคโปร์ ขณะที่ผู้ร่วมก่อตั้งทั้งสามคนก็ได้ย้ายถิ่นฐานตามไปติดๆ

 

นอกจากนี้ ตามรายงานจาก Bloomberg เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว Butterfly Effect ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Manus ได้ ปลดพนักงานในจีนออกทั้งหมด

 

แถมยังลบเนื้อหาทั้งหมดออกจากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของจีนอย่าง Weibo และ Xiaohongshu (หรือ RedNote) จนเกลี้ยง

 

แต่ยังคงความเคลื่อนไหวบนแพลตฟอร์ม X (เดิม Twitter) อย่างต่อเนื่อง

 

การเปลี่ยนแปลงยังไม่จบแค่นั้น เพราะสัปดาห์นี้ ผู้ใช้งานในจีนที่พยายามเข้าเว็บไซต์ของ Manus กลับพบข้อความว่า "ไม่สามารถให้บริการในภูมิภาคของคุณได้"

 

ซึงต่างจากประกาศก่อนหน้านี้ที่เคยระบุว่ากำลังพัฒนาเว็บไซต์เวอร์ชันภาษาจีนอยู่

 

ภาวะภูมิรัฐศาสตร์ปัจจุบัน ได้บีบบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ต่างอะไรจากการยืนอยู่บนทางสองแพร่ง

 

คือ จะยังอยู่ในตลาดบ้านเกิดที่การแข่งขันดุเดือด หรือจะมุ่งหน้าสู่การเติบโตในต่างแดนที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า  และแน่นอนว่าคงไม่สามารถเลือกได้ทั้งสองทาง

 

 

ทำไมกลยุทธ์ 'สลัดภาพจีน' ถึงเป็นกับดัก

 

การย้ายฐานไปต่างประเทศอาจหมายถึงกระบวนการสุดหินที่ Manus ต้องพยายาม "ล้างภาพ" ความเป็นจีนออกไปจากตัวตนของบริษัท ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายอย่างยิ่ง

 

เพราะรากฐานความเป็นจีนนี่แหละคือ จุดเริ่มต้นความสำเร็จ ของ Manus เลยก็ว่าได้

 

นอกจากนี้ บริษัทจีนยังมีข้อได้เปรียบในเชิงเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน ด้วยการเข้าถึงแหล่งรวมวิศวกรมากความสามารถในราคาจับต้องได้และมีวัฒนธรรมการทำงานที่แข็งขัน 

 

ที่สำคัญที่สุด คือการรีแบรนด์เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ที่น่ากังขา มักไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่นักในแง่ธุรกิจ

 

การตัดสินใจของ Manus ที่จะเปลี่ยนภาพลักษณ์เป็นบริษัทสิงคโปร์ เกิดขึ้นหลังจากเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในสหรัฐฯ

 

เมื่อ Benchmark บริษัทร่วมลงทุน (Venture Capital) ชื่อดังแห่งซิลิคอนแวลลีย์ (ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ eBay และ Uber ในยุคแรก) ประกาศนำการระดมทุนรอบใหม่มูลค่า 75 ล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับ Butterfly Effect

 

กลุ่ม VC (Venture Capital) อื่น ๆ พากันออกมาโจมตี Benchmark อย่างหนัก โดยกล่าวหาว่า "ไปลงทุนกับศัตรู" และเปรียบเทียบว่าเหมือนกับที่สหรัฐฯ เคยสนับสนุนรัสเซียในยุคสงครามอวกาศเลยทีเดียว

 

แถมแผนการลงทุนนี้ยังถูกกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เพ่งเล็งเป็นพิเศษ ภายใต้กฎระเบียบใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในเทคโนโลยีบางประเภทของจีนอีกด้วย

 

อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องยากมากที่ Manus จะสามารถลบป้ายความเป็นจีนออกจากเรื่องราวของบริษัทได้ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้รับความสนใจอย่างล้นหลามขนาดนี้ 

 

จี้ อีเฉา (Ji Yichao) หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เคยขึ้นปกนิตยสาร Forbes China มาแล้วเมื่อราว 10 กว่าปีก่อน ในฐานะหนึ่งใน 30 ผู้ประกอบการอายุน้อย (ต่ำกว่า 30 ปี) ที่น่าจับตาของประเทศ 

 

ที่สำคัญคือ สื่อของทางการจีนเองก็เคยเชิดชูความสำเร็จของ Manus มาก่อน เพราะฉะนั้น ถ้าพยายามจะลบภาพความเป็นจีนออกไป ก็เสี่ยงที่จะถูกคนในประเทศต่อต้านได้

 

บทเรียนจาก TikTok และ HeyGen

 

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น TikTok แอปฯ ดังจาก ByteDance Ltd. พยายามอย่างหนักที่จะสร้างภาพลักษณ์ใหม่ว่าเป็นบริษัทอเมริกันและสิงคโปร์ เพื่อคลายความกังวลของรัฐบาลวอชิงตันเกี่ยวกับต้นกำเนิดในกรุงปักกิ่ง 

 

แต่ความพยายามทั้งหมดก็ไม่เป็นผล เพราะเมื่อปีที่แล้ว สหรัฐฯ ได้ออกกฎหมายที่บีบให้บริษัทแม่ต้องขายกิจการแอปฯ นี้ ซึ่งแม้แต่ในจีนแผ่นดินใหญ่ก็ไม่ได้เปิดให้บริการด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นจะโดนแบนจากประเด็นความมั่นคงของชาติ ซึ่งถือว่าไม่ใช่ลางดีสำหรับ Manus เลยก็ว่าได้

 

ปัจจุบัน อุตสาหกรรม AI กลายเป็นเป้าโจมตีสำคัญของ นักการเมืองสายเหยี่ยวในสหรัฐฯ ที่มองว่าแอปพลิเคชัน AI สำหรับผู้บริโภคที่ใช้เทคโนโลยีจากคู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์เป็นภัยคุกคาม

 

ถึงแม้ HeyGen สตาร์ทอัพวิดีโอ AI ที่ย้ายฐานจากจีน จะสามารถระดมทุนและได้ลูกค้าชาวอเมริกันจำนวนมาก แต่ก็ยังคงถูกเพ่งเล็งจากฝ่ายนิติบัญญัติเรื่องความเชื่อมโยงที่อาจมีกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน

 

ผู้ร่วมก่อตั้งของ HeyGen กล่าวว่ามัน "น่าผิดหวัง" ที่ต้องเห็นมรดกทางเชื้อชาติของเขาถูกปฏิบัติราวกับเป็นสิ่งที่น่าละอาย ซึ่งเบื้องหลังความกังวลด้านความมั่นคงของชาตินั้น ก็เจือปนด้วยทัศนคติที่หวาดกลัวชาวต่างชาติ (xenophobia) อย่างปฏิเสธไม่ได้

 

การพุ่งเป้าไปที่บริษัทเทคโนโลยีสำหรับผู้บริโภคโดยอิงจากสัญชาติของผู้ก่อตั้งเป็นกลยุทธ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ หากสหรัฐฯ กังวลเกี่ยวกับภัยคุกคามที่ข้อมูลอาจรั่วไหลไปยังประเทศจีน หรืออัลกอริทึมอาจถูกชี้นำโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน 

 

ก็ควรหันมาใช้กฎระเบียบที่ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านี้ เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีใหม่ที่น่าตื่นตาอย่าง AI Agent ของ Manus มาตรฐานสำหรับทั้งอุตสาหกรรมเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด

 

เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาเพื่อให้ซอฟต์แวร์สามารถทำงานที่ซับซ้อนขึ้นได้ด้วยตัวเองนั้น มีความเสี่ยงเฉพาะตัวแฝงอยู่ เช่น ใครจะเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดข้อผิดพลาด และเราควรปล่อยให้เครื่องจักรมีอำนาจควบคุมมากน้อยเพียงใด

 

ผู้กำหนดนโยบายทั่วโลกควรจัดการกับข้อกังวลเหล่านี้ โดยไม่คำนึงว่า AI Agent นั้นจะมาจากที่ใด

 

การกีดกันคนเก่งและนักคิดหัวกะทิออกจากซิลิคอนแวลลีย์ก็เหมือนการปิดหูปิดตาตัวเองจากนวัตกรรมใหม่ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก 

 

ท้ายที่สุดแล้ว อเมริกาเองนั่นแหละที่จะได้ประโยชน์สูงสุด ถ้าหันมาสนับสนุนและดึงดูดผู้ก่อตั้งบริษัทที่มีความสามารถเหล่านี้ให้เข้ามาสร้างความก้าวหน้าในสหรัฐฯ

 

ข่าวล่าสุด

ไทยเบฟคว้า 2 รางวัลอาหารจากเวที RED TABLE AWARDS 2025