มาร์ก นำทัพเอง! ปั้นทีมรวมหัวกระทิ หวังดัน Meta ผู้นำ AI ระดับโลก
มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก นำทัพเอง! ปั้นทีมรวมหัวกระทิ "Superintelligence" หวังดัน Meta สู่ผู้นำ AI ฉลาดล้ำระดับโลก
สำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า หลังจากที่ มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก ซีอีโอ Meta เจ้าของ Facebook, Instagram ไม่ค่อยปลื้มกับความก้าวหน้าด้าน AI บริษัทตัวเองสักเท่าไหร่ งานนี้ซีอีโอเลยขอลงมาลุยเอง
ด้วยการสร้างทีมผู้เชี่ยวชาญ AI ชุดใหม่ โดยมีเป้าหมายคือ ผลักดัน Meta ให้เป็นผู้นำด้าน AI ที่ฉลาดล้ำที่สุดในโลก โดยเฉพาะในเรื่องที่เรียกว่า AGI (Artificial General Intelligence) หรือ AI ที่คิดและทำได้เหมือนมนุษย์เป๊ะๆ
ช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซักเคอร์เบิร์กถึงกับใช้เวลาส่วนตัวพบปะทาบทามนักวิจัยและวิศวกร AI หัวกะทิถึงที่บ้านพักในแคลิฟอร์เนีย เพื่อดึงตัวคนเก่งๆ มาร่วมทีมนี้โดยเฉพาะ
ซีอีโอคัดเอง หวังรวมหัวกระทินั่งทำงานใกล้ชิด!
ตามข้อมูลจาก Bloomberg ซักเคอร์เบิร์กจริงจังกับการหาคนเข้าทีมผู้เชี่ยวชาญ AI มากๆ ซึ่งภายใน Meta เรียกทีมนี้ว่า "Superintelligence" แสดงถึงเป้าหมายใหญ่ที่เขาต้องการให้ Meta แซงหน้าบริษัทเทคโนโลยีอื่นๆ ให้ได้
ถ้า AI ของ Meta ฉลาดเท่ามนุษย์เมื่อไหร่ ความสามารถนี้จะถูกนำไปใช้กับทุกผลิตภัณฑ์ของ Meta ทั้ง Facebook, Instagram, WhatsApp รวมถึงเครื่องมือ AI ใหม่ๆ อย่างแชทบอทของ Meta และแว่นตา Ray-Ban AI ด้วย
ซักเคอร์เบิร์กตั้งใจจ้างคนเก่งๆ ประมาณ 50 คนสำหรับทีมใหม่นี้ รวมถึงหัวหน้าฝ่ายวิจัย AI คนใหม่ด้วย และที่สำคัญคือ เขาจะคัดเลือกเองเกือบทั้งหมด
Bloomberg ยังเผยอีกว่า ซักเคอร์เบิร์กถึงขั้นจัดพื้นที่ทำงานใหม่ที่สำนักงานใหญ่ในเมนโลพาร์ก เพื่อให้พนักงานใหม่ได้นั่งทำงานใกล้ๆ กับเขาเลยทีเดียว
นอกจากจะสร้างทีมเองแล้ว Meta ยังลงทุนมหาศาลหลายหมื่นล้านบาทในบริษัทชื่อ Scale AI ที่ช่วยบริษัทอื่นๆ ฝึกสอน AI และสร้างแอปพลิเคชัน AI เฉพาะทาง
โดย อเล็กซานเดอร์ หวัง ผู้ก่อตั้ง Scale AI ก็คาดว่าจะเข้ามาร่วมทีม "Superintelligence" นี้ด้วย และคาดว่าจะเป็นการลงทุนนอกบริษัทครั้งใหญ่ที่สุดของ Meta เท่าที่เคยมีมา
ดราม่า Llama: ความคาดหวังที่สวนทางกับความเป็นจริง
เหตุผลหนึ่งที่ซักเคอร์เบิร์กต้องเข้ามาคุมการหาคนเอง คือความไม่พอใจในคุณภาพและการตอบรับของ Llama 4 ซึ่งเป็น AI แชทบอทตัวล่าสุดของ Meta
Llama 4 เปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายน ทำให้ซักเคอร์เบิร์กผิดหวังมาก เพราะเขาอยากให้ AI ของ Meta เป็นอันดับหนึ่งให้ได้ภายในสิ้นปีนี้
แต่ประสิทธิภาพของ Llama 4 กลับถูกตั้งคำถามทั้งจากคนในและคนนอกว่า "เป็นแชทบอท AI ที่พูดเกินจริง และทำได้ไม่ดีพอ"
ต่อมา Meta ก็ต้องเลื่อนแผนเปิดตัว AI ตัวที่ใหญ่ที่สุดชื่อ "Behemoth" ที่เคยอ้างว่าสรรพคุณเหนือกว่าคู่แข่งอย่าง OpenAI, Anthropic และ Google ไปก่อน เพราะผู้บริหารเองก็กังวลว่ามันไม่ได้ก้าวหน้าจากรุ่นก่อนมากนัก
ความผิดพลาดเหล่านี้เองที่ทำให้ซักเคอร์เบิร์กต้องลงมือเอง และเป็นแรงผลักดันให้เขาสร้างทีมใหม่ขึ้นมา ถึงขนาดสร้างกลุ่มแชท WhatsApp ชื่อ "Recruiting Party" เพื่อคุยเรื่องการหาคนเก่งๆ กันตลอดเวลาเลยทีเดียว
ซักเคอร์เบิร์กจะคอยติดต่อและติดตามผู้สมัครด้วยตัวเองตลอดกระบวนการจ้างงาน เขาหวังว่าทีมใหม่นี้จะช่วยพัฒนา Llama ให้ดีขึ้น และสร้างเครื่องมือ AI ที่ฉลาดขึ้นสำหรับฟีเจอร์เสียงและการปรับแต่งเฉพาะบุคคล
ศึก AI ดุเดือด: Meta ต้องแข่งกับใครบ้าง?
ยังไม่แน่ชัดว่า "Superintelligence" จะทำงานร่วมกับทีม AI เดิมของ Meta อย่างไร แต่พนักงานบางส่วนก็อาจจะถูกย้ายมาอยู่ทีมนี้ด้วย
ซักเคอร์เบิร์กกำลังแข่งกับคู่แข่งตัวฉกาจอย่าง OpenAI และ Google เพื่อเป็นผู้นำตลาด AI ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจโฆษณา
ช่วงเดือนที่ผ่านมา ซักเคอร์เบิร์กใช้เวลาชวนนักวิจัยและวิศวกร AI มาร่วมทีม Meta โดยเขาบอกว่า Meta มีธุรกิจโฆษณาที่แข็งแกร่งพอจะลงทุนใน AI ได้
ต่างจากคู่แข่งที่ต้องระดมทุนก้อนใหญ่ แถมยังบอกว่า Meta มีเงินสดพอจะลงทุนในศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ระดับโลก ทำให้มีระบบเซิร์ฟเวอร์ที่ทรงพลังที่สุดแห่งหนึ่งด้วย
แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนก็กังวลว่า Meta อาจจำกัดไม่ให้คู่แข่งใช้บริการ Scale AI ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐบาลจะเข้ามาตรวจสอบ
เรื่องวุ่นๆ ของ Llama และอนาคต AI ของ Meta
ความฝัน AI ของ Meta ขึ้นอยู่กับโมเดล Llama ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแชทบอท AI และช่วยฝึกระบบ AI สำหรับโฆษณาต่างๆ
Meta ยังเปิดเผยพิมพ์เขียวของ Llama ให้เป็น โอเพ่นซอร์ส (เปิดโค้ดให้คนทั่วไปนำไปพัฒนาต่อได้) เพราะหวังว่า Llama จะเป็นรากฐานสำคัญของผลิตภัณฑ์ AI ทั่วโลก เหมือน Android ของ Google
แต่ Llama เวอร์ชันล่าสุดกลับไม่ได้รับการตอบรับที่ดีนัก แม้แต่พนักงาน Meta เองก็ยังรู้สึกว่าคำพูดของซักเคอร์เบิร์กที่ว่า AI ของตัวเองสำเร็จแล้วนั้น "ดูสวยหรูเกินจริง"
หลังจาก ChatGPT ของ OpenAI ดังเปรี้ยงปร้างในปี 2022 Meta ก็รีบโยกย้ายคนและทรัพยากรมาสร้างทีม AI ใหม่ที่เน้นผู้บริโภคชื่อ GenAI ทีมนี้มีหน้าที่เปลี่ยนงานวิจัย AI ให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์จริง รวมถึงโมเดล Llama ด้วย
แต่การปรับตัวครั้งนี้ก็ไม่ง่าย พนักงานบางคนรู้สึกว่า AI ที่ Meta ทำออกมาตอนแรกๆ เช่น ตัวละคร AI ที่อิงจากคนดัง ดูไร้สาระเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง OpenAI ที่ตั้งเป้าหมายใหญ่กว่าอย่าง AGI
ความกังวลว่า Meta ไม่ได้จริงจังกับศักยภาพของ AGI ทำให้มีคนลาออกหลายคน และการเปลี่ยนแปลงภายในหน่วยงาน AI ของ Meta ก็ยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่องในปีนี้
แรงกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อคู่แข่งในจีนเริ่มสร้างเครื่องมือ AI แบบโอเพ่นซอร์สที่สตาร์ทอัพบางแห่งเลือกใช้แทน
อย่างสตาร์ทอัพจีนชื่อ DeepSeek ก็เพิ่งเปิดตัวโมเดล AI โอเพ่นซอร์สที่ล้ำสมัยในเดือนมกราคม ซึ่งมีต้นทุนพัฒนาน้อยกว่าโมเดล AI สัญชาติอเมริกันมาก
ในเดือนมีนาคม สตาร์ทอัพชิป AI ของเกาหลีชื่อ FuriosaAI ก็ปฏิเสธข้อเสนอ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ จาก Meta ที่ต้องการซื้อบริษัท
โดย Meta สนใจผู้เชี่ยวชาญและวิศวกรของ FuriosaAI เพื่อนำมาปรับปรุงการพัฒนาชิปของตัวเอง
การเข้าซื้อกิจการที่ล้มเหลวครั้งนี้ ทำให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความพยายามของ Meta ในการสร้างชิปประสิทธิภาพสูงสำหรับงาน AI รวมถึงความสามารถในการดึงดูดบุคลากรด้านโครงสร้างพื้นฐานว่าจะสามารถเกิดขึ้นจริงได้อย่างเป็นรูปธรรมหรือไม่


