ชิป AI ของ Nvidia ถูกจับตา ท่ามกลางแรงสั่นสะเทือนจาก DeepSeek ของจีน

บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดสูงเป็นอันดับสองของโลกได้รับอานิสงส์อย่างมากจากกระแสการลงทุนด้าน AI โดยกลุ่มเทคโนโลยีชั้นนำในช่วงสองปีที่ผ่านมา

 

แต่การอ้างว่าโมเดล AI ของ DeepSeek สามารถท้าชนกับผลิตภัณฑ์ตะวันตกด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่ามาก ทำให้เกิดคำถามว่าชิปประสิทธิภาพสูงของ Nvidia มีความจำเป็นต่อความได้เปรียบในการแข่งขันด้าน AI หรือไม่

 

การเปิดตัวของ DeepSeek ในเดือนมกราคมส่งผลให้ Nvidia สูญเสียมูลค่าตลาดกว่า 5.93 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งถือเป็นการขาดทุนรายวันที่มากที่สุดของบริษัทในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ถึงแม้ว่าหุ้นของบริษัทจะเป็นหนึ่งในหลักทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานดีที่สุดในปี 2023 และ 2024

 

"นักลงทุนกังวลอย่างมากเกี่ยวกับ DeepSeek และผลกระทบต่อความต้องการในตลาด" Ivana Delevska ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของ Spear Invest ซึ่งถือครองหุ้น Nvidia ในกองทุน ETF กล่าว "หาก Nvidia สามารถแสดงให้เห็นว่ายังคงเอาชนะและเติบโตต่อไปได้ จะส่งผลดีต่อราคาหุ้นอย่างแน่นอน"

 

คาดการณ์ว่า Nvidia จะรายงานรายได้เพิ่มขึ้น 72% เป็น 3.805 หมื่นล้านดอลลาร์ในไตรมาสที่สี่ ตามข้อมูลจาก LSEG ซึ่งถือเป็นอัตราการเติบโตที่ช้าที่สุดในรอบเจ็ดไตรมาส และคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 60% ในไตรมาสแรกที่จะสิ้นสุดในเดือนเมษายน ซึ่งต่างจากผลประกอบการก่อนหน้าที่เติบโตเป็นเลขสามหลักต่อเนื่องห้าไตรมาสจนถึงเดือนตุลาคม

 

อย่างไรก็ตาม จนถึงขณะนี้ ความต้องการชิป AI ของ Nvidia ยังไม่มีท่าทีลดลง ลูกค้ารายใหญ่อย่าง Microsoft และ Meta ประกาศว่ายังคงเดินหน้าลงทุนในศูนย์ข้อมูลอย่างต่อเนื่อง

 

ในขณะเดียวกัน การจัดส่งชิป Blackwell รุ่นใหม่ล่าสุดของ Nvidia คาดว่าจะเร่งตัวในไตรมาสที่สี่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ แต่อาจส่งผลกดดันอัตรากำไรขั้นต้น เนื่องจากต้นทุนในการผลิตชิปใหม่ที่มีความซับซ้อนสูง

 

เนื่องจากซีรีส์ Blackwell Nvidia กำลังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์จากการขายชิปแยกชิ้น มาเป็นระบบคอมพิวเตอร์ AI แบบครบวงจร เช่น GB200 NVL72 ซึ่งบูรณาการ GPU, CPU และอุปกรณ์เครือข่ายเข้าด้วยกัน สร้างความซับซ้อนในการเพิ่มกำลังการผลิตที่มีต้นทุนสูงและใช้เวลานาน

 

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าอัตรากำไรขั้นต้นที่ปรับปรุงแล้วของ Nvidia จะลดลงกว่าสามจุดเหลือ 73.5% ในไตรมาสที่สี่