ไม่เอาแล้ว ChatGPT สตาร์ทอัพเยอรมนีหันซบ Deepseek ลดต้นทุนมหาศาล
หลังการเปิดตัวของ Deepseek สั่นสะเทือนวงการ AI นั่นทำให้ผู้คนต่างให้ความสนใจ บริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งจึงเริ่มเปลี่ยนจาก ChatGPT มาใช้งาน Deepseek แทน
Hemanth Mandapati ซีอีโอของสตาร์ทอัพจากเยอรมนี Novo AI เป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่เปลี่ยน Chatbot ที่ใช้งานในบริษัทจาก ChatGPT ของ OpenAI มาเป็น Deepseek เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถทำได้ง่ายและรวดเร็ว โดยสามารถจัดการให้เสร็จสิ้นได้ในไม่กี่นาที
สาเหตุที่เป็นแบบนั้นเนื่องจาก Deepseek เสนอราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นในท้องตลาดถึง 5 เท่า ช่วยลดต้นทุนลงอย่างมหาศาลแต่ไม่มีความแตกต่างทางคุณภาพมากนัก ส่งผลให้บริษัทน้อยใหญ่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยี AI ในราคาที่ต่ำลง ซึ่งอาจส่งผลกดดันบริษัทยักษ์ใหญ่ให้ปรับปรุงคุณภาพโมเดลและราคาเพื่อการแข่งขันต่อไป
ที่ผ่านมาสตาร์ทอัพจากประเทศทางยุโรปประสบปัญหาในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งาน เนื่องจากข้อจำกัดด้านเงินทุนที่น้อยกว่าบริษัทในสหรัฐฯ แต่ทางบริษัทมองว่า Deepseek อาจเป็นตัวเปลี่ยนเกมสำคัญที่ช่วยให้ทุกคนมีโอกาสเข้าถึง และสามารถแข่งขันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ได้ เนื่องจาก Deepseek มีต้นทุนค่าบริการ API ถูกกว่า OpenAI ราว 20 – 40 เท่า
สิ่งนี้สอดคล้องกับข้อมูลที่ว่าบริษัท AI ในสหรัฐมีเงินลงทุนเฉลี่ยอยู่ที่ 100,000 ล้านดอลลาร์ ในขณะที่ยุโรปมีเม็ดเงินลงทุนราว 15,800 ล้านดอลลาร์ ที่ผ่านมามีเพียงบริษัท Mistral จากฝรั่งเศสเพียงที่เดียวเท่านั้นซึ่งติดอันดับผู้นำด้านโมเดล AI ภายในยุโรป
นั่นทำให้ Deepseek ได้รับความสนใจเป็นวงกว้างภายหลังการเปิดเผยว่า DeepseekV3 ใช้ต้นทุนพัฒนาราว 6 ล้านดอลลาร์ซึ่งต่ำกว่าคู่แข่งมากแต่มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน เป็นข้อพิสูจน์ว่า การพัฒนา AI ไม่จำเป็นต้องใช้ต้นทุนมหาศาลเสมอไป ช่วยเปิดโอกาสให้บริษัทขนาดกลางและเล็ก
อย่างไรก็ตาม Deepseek ยังมีข้อกังขาในหลายด้าน ทั้งการบิดเบือนข้อมูลงบการพัฒนาจริง, การเก็บข้อมูลในการใช้งาน ไปจนความปลอดภัยของซอฟต์แวร์ สิ่งเหล่านี้นำไปสู่การตั้งคำถามจากหลายประเทศ นำไปสู่การเฝ้าระวังและตรวจสอบที่เราต้องรอข้อเท็จจริงกันต่อไป
ที่มา
https://www.reuters.com/technology/artificial-intelligence/deepseek-gives-europes-tech-firms-chance-catch-up-global-ai-race-2025-02-03/