posttoday

หนึ่งปีหลังการเลือกตั้ง

13 พฤศจิกายน 2564

คอลัมน์ เปิดประตูค้าชายแดน

วันเวลาผ่านไปเร็วมาก เผลอแป๊บเดียวก็ผ่านไปหนึ่งปีอีกแล้ว ช่วงเวลาที่ผ่านมาหนึ่งปีนี้ มีอะไรผ่านเข้ามาในชีวิตผมเยอะมาก ดีนะครับที่ยังคุมอารมณ์ความรู้สึกได้อยู่ ยังไม่ถึงกับเป็นเส้นเลือดในสมองแตก

เพราะหลังจากที่ประเทศเมียนมาได้จัดการเลือกตั้งครั้งที่ 3 โดยพรรค NLD ชนะการเลือกตั้งของเมียนมาอย่างถล่มทลาย จึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

เราคงไม่ต้องเล่าเรื่องย้อนหลังก็คงจะทราบกันถ้วนหน้าแล้วนะครับ เรามาดูเรื่องที่น่าสนใจที่กำลังจะเกิดและสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้าที่จะเข้ามาสู่ยุคปี 2010 น่าจะดีกว่านะครับ

การเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศเมียนมาที่ผ่านๆมา (ไม่นับถึงครั้งนี้นะครับ) แม้จะมีไม่กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะมีต้นแบบของสาเหตุ มักจะไม่แตกต่างกันมากนัก นั่นก็คือจะต้องมีการเรียกร้องสิทธิอะไรบางอย่าง เมื่อไม่ได้ดังที่คาดหวังไว้ ก็ออกมาเดินบนท้องถนน แล้วทหารก็จะออกมาปราบปราม

ผมยังจำได้ว่า ผู้นำทหารอย่างท่านนายพล เนวิน ได้กล่าวไว้ว่า “ปืนของทหารพม่า ไม่ได้มีไว้เพื่อยิงขึ้นฟ้า” ดังนั้นพอทุกครั้งที่มีการเดินขบวนประท้วง ก็จะมีการบาดเจ็บล้มตายเกิดขึ้นเสมอ

เมื่อเกิดการรัฐประหารเกิดขึ้น แน่นอนว่าเศรษฐกิจก็จะถดถอยทุกครั้งไป นี่เป็นเรื่องสัจธรรมหรือเป็นปกติวิสัยที่เกิดขึ้นตลอด ไม่จำเป็นต้องรอให้ชาติตะวันตก หรือองค์การสหประชาชาติมาแซงชั่นหรอกครับ เหตุผลที่อธิบายได้ด้วยภาษาง่ายๆ คือ เมื่อเกิดการปฎิวัติรัฐประหาร นักลงทุนที่มาจากต่างประเทศ ก็มักจะตกใจตื่น แล้วถอนตัวออกไป

อีกทั้งคนที่กำลังจะลงทุนไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนภายในประเทศหรือต่างประเทศ ก็จะเกิดความหวาดหวั่นในความไม่แน่นอน ก็จะชลอการลงทุนไปด้วย ดังนั้นการลงทุนภายในก็จะไม่มี ส่งผลให้การจ้างงานภายในประเทศก็จะลดลง เมื่อการตกงานบังเกิด  รายได้ของประชาชนก็จะหดหายไป

ส่งผลต่อไปยังการบริโภคสินค้าก็จะลดลง ......ผลที่ตามมาอีกเป็นลูกโซ่ ก็จึงทำให้เศรษฐกิจหดหาย เป็นสัจธรรมดังที่ผมกล่าวมาในตอนแรกนั่นแหละครับ

เมื่อเป็นเช่นนี้ หากเศรษฐกิจจะกลับมาอีกครั้ง ก็คงต้องใช้เวลาที่ยาวนานกว่าจะกลับคืนมาสู่ภาวะปกติเหมือนเดิม แต่วันนี้ประเทศเมียนมาย่ำแย่กว่าที่คิดเยอะครับ เพราะเจอเข้าไปหลายเด้งมาก ระลอกแรกก็เจอเจ้าวายร้าย COVID-19 ที่รุนแรงกว่าประเทศอื่นๆ

เหตุเพราะ นอกจากสาธารณสุขพื้นฐานของเมียนมาที่ไม่ทัดเทียมกับประเทศอื่นแล้ว ความรุนแรงของการระบาดระลอกสองยังรุนแรงกว่าที่อื่นด้วย อีกทั้งยังต้องมาเจอกฎอัยการศึกอีกด้วย เลยไปกันใหญ่

ประเทศเมียนมายังโชคร้ายกว่าประเทศอื่น เพราะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครองนี่แหละครับ ประชาชนหลายภาคส่วน โดยเฉพาะกลุ่มคนหนุ่มสาว ที่ไม่อยากจะกลับไปสู่ยุคที่มีการควบคุมของทหารอีก ยังมีกลุ่มปัญญาชนที่หมายรวมถึงครู อาจารย์ แพทย์ พยาบาล และกลุ่มไฮโซต่างๆ ที่ไม่อยากจะอยู่ภายใต้การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว

เขาคงจะเข็ดหลาบกับการยึดอำนาจการปกครองของรัฐบาลทหารในอดีต ดังนั้นจึงออกมาเดินลงบนถนน ทำให้เกิดการปราบปรามอย่างหนักหน่วง นี่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมบอกว่าหนักกว่าประเทศอื่นๆนั่นเองครับ

การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจนั้น ตัวแปรในวันนี้ไม่ได้อยู่เฉพาะในประเทศเมียนมาเสียแล้ว เพราะการดิ้นรนของกลุ่มผู้คัดค้านการปกครองของรัฐบาล ได้ลามปามไปกันใหญ่ จนร้อนถึงประเทศในกลุ่มประชาคมอาเชี่ยน  ที่รัฐบาลเมียนมาเองก็เป็นหนึ่งในสิบประเทศสมาชิกประชาคม อีกทั้งยังมีทางฝากฝั่งของประเทศตะวันตกหลายประเทศ

รวมทั้งองค์การสหประชาชาติ ที่ไม่เพียงแต่ไม่ให้การสนับสนุน ยังมีท่าทีที่จะแซงชั่นขนาดใหญ่ ดีนะครับที่ยังมีรัฐบาลยักษ์ใหญ่ทางฝั่งตะวันออก และพี่เบิ้มทางขั่วโลกเหนือ ยังออกมาปกป้องอยู่ ถ้าไม่ละก็.....ผมเชื่อว่าคงได้เห็นการแซงชั่นระดับรุนแรงมากขึ้น ถ้าเป็นเช่นนั้นผมยังไม่อยากคิดต่อเลยครับว่า เมฆหมอกอันดำทะมึนจะทำให้อนาคตที่มืดมนอยู่แล้ว ดำดิ่งลงไปอีกสักเท่าไหร่

สิ่งที่คาดการณ์ไว้ว่าในอนาคตตามสัญญาของผู้ครองประเทศได้เคยให้ไว้กับประชาชน ว่าจะรีบดำเนินการจัดการเลือกตั้งอย่างมีประชาธิปไตยนั้น จะเป็นไปตามสัญญาหรือไม่? แล้วถ้าหากการเลือกตั้งเป็นไปได้จะเกิดความทุลักทุเลหรือเปล่า? เพราะผมก็ยังคงเชื่อต่อไปอีกว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้ากลุ่มนักการเมืองฝั่งตรงกันข้าม จะเข้ามาร่วมด้วยหรือเปล่า?

นี่คงไม่ต้องพูดถึงพรรคการเมืองที่ถูกยุบพรรคไปแล้วนะครับ เพราะที่หมิ่นเหม่ที่จะถูกยุบ เชื่อว่ายังคงมีอีกไม่น้อย อีกทั้งกลุ่มกองกำลังชนชาติพันธุ์ที่เห็นท่าทีจะออกมาแสดงพลังอยู่ตลอดเวลาว่า จะเข้ามาร่วมการเลือกตั้งหรือไม่?

และถ้าหากทุกฝ่ายเข้ามาร่วมกันสร้างประชาธิปไตยใหม่อีกครั้ง แล้วจะมีอะไรที่สามารถการันตีได้ว่า ประชาชนจะเอาด้วยกับกลุ่มนักการเมืองเหล่านั้น

ไม่แน่ใจว่าท่านจะเห็นเหมือนที่ผมคิดหรือเปล่าไม่ทราบ แต่คำถามที่คาใจคนภายนอกอย่างผม แน่นอนว่ามีอยู่หลากหลายมาก ผมเองก็ไม่สามารถทำนายได้ถูกต้องร้อยเปอเซ็นต์ว่าจะนำมาซึ่งสันติภาพจริงๆ  

ก็ได้แต่บอกว่าแค่นี้ประเทศเมียนมาก็น่าสงสารมากแล้ว ขออย่าให้มีความวุ่นวายเกิดขึ้นมากกว่านี้อีกเลย พระเจ้าโปรดประทานพร ให้สันติภาพและความสงบสุข จงบังเกิดแก่ประเทศเมียนมา

อีกทั้งของให้ประชาชนเมียนมา จงอย่าได้รับเภทภัยใดๆ มากกว่าการระบาดของเจ้าวายร้าย COVID-19 เลยครับ