posttoday

กลยุทธ์จิตวิทยา

02 ตุลาคม 2564

คอลัมน์ เปิดประตูค้าชายแดน

ระยะนี้เราจะเห็นการปล่อยข่าวออกมาจากทางประเทศเมียนมาค่อนข้างจะเยอะมาก ซึ่งในข่าวที่ปล่อยออกมานั้น มีทั้งข่าวปลอมหรือ Fake News ก็มีไม่น้อย

สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในระยะนี้ ในความคิดของผม เป็นการสร้างสงครามจิตวิทยากันทั้งหมด เราคงไม่ไปโทษว่าใครผิดใครถูก เพราะทุกฝ่ายล้วนแล้วแต่ต้องการชัยชนะทั้งนั้น แต่ก็ได้แต่สงสารประเทศเมียนมา และชาวบ้านตาดำๆที่ต้องมารับเคราะห์กรรมกันเท่านั้นแหละครับ

ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่วันมานี้ อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ก็หล่นเอาวูบวาวไปหมด บางคนที่เล่นเก็งกำไรเงินตราหรือเก็งกำไรจากค่าของเงิน บ้างก็ยิ้มบ้างก็ร้องไห้ไปตามๆกัน เพราะตั้งแต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา ค่าเงินจ๊าดที่แลกกับเงินเหรียญสหรัฐ จากเริ่มต้นที่ 1350 จ๊าดต่อ1เหรียญ ในวันนี้ค่าเงินหล่นไปที่ 2,700-2,900 จ๊าดต่อ 1 เหรียญสหรัฐแล้ว

และไม่มีทีท่าว่าจะแข็งขึ้นมาอีกสักเท่าไหร่เลย คนไทยที่ดำเนินธุรกิจการค้าในบ้านเรา คงจะเคยลิ้มรสของความเจ็บปวดในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งมาแล้ว หลายคนน่าจะยังจำความเจ็บปวดตรงนั้นได้ดี

เพราะผู้ประกอบการหลายๆท่าน ก็ได้ล้มหายไปกับวิกฤติครั้งนั้นมาไม่ใช่น้อยเลย ในประเทศเมียนมาเองก็คงจะเจ็บปวดไม่น้อยไปกว่ากันแน่นอนครับ ผู้นำเข้าสินค้าไปขายในประเทศเมียนมา หากเจ้าของสินค้าไม่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ผมคิดว่าคงจะต้องล้มละลายไปอย่างไม่ต้องสงสัยเลยละครับ

ยังมีผู้ประกอบการบางราย ที่ผมได้รับฟังข่าวมา ก็ได้ตัดสินใจหยุดการขายสินค้าไปก่อนเลย เพราะหากการขายสินค้าออกไปวันนี้ วันพรุ่งนี้จะซื้อสินค้าเข้ามาอีก ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ในราคาเดิมแล้ว หรืออาจจะซื้อได้ แต่ราคาที่ขึ้นอยู่กับค่าของเงิน ก็จะต้องใช้เม็ดเงินมากขึ้นเป็นเงาตามตัวครับ

เหตุการณ์เช่นนี้ ผมเองก็เคยได้รับบทเรียนมาแล้ว  ในช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่ผ่านมา ช่วงนั้นผมได้นำเอากาแฟชื่อดัง “Mr. Brown” จากไต้หวันมาจัดจำหน่ายที่ประเทศไทย ยังจำได้ว่าช่วงนั้นผมซื้อกาแฟมาลังละ 8 US$ ซึ่งตอนนำเข้ามาคิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 224 บาท ค่าเงิน 28 บาทต่อ1 เหรียญสหรัฐ

ซึ่งการซื้อขายกันนั้น ทางบริษัทเจ้าของสินค้าที่ไต้หวัน ก็กรุณาให้เครดิต 60 วัน แต่พอเกิดวิกฤติ ค่าเงินหล่นไปอยู่ที่ 54 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐ ผมต้องจ่ายให้เขา 432 บาทต่อลัง ผมจึงต้องรีบไปขอบอกเลิกขายกาแฟ Mr.Brown ของเขาทันที ทางเจ้าของสินค้าเองก็บอกว่าอย่าเพิ่งเลิกเลย ให้ทนๆเอาหน่อย เขาจะช่วยเหลือในเรื่องราคาให้ โดยการลดเปอร์เซ็นต์ให้ผม

แต่ผมก็ตอบปฎิเสธไป เพราะในใจผมคิดว่า แม้คุณจะลดราคาเพื่อช่วยผม โดยคุณต้องชักเนื้อตัวเอง แล้วจะสามารถลดลงไปได้มากหรือนานสักเท่าไหร่ เราก็ไม่ได้ยินดีที่จะรับ

เพราะหากเราเอาเปรียบเพื่อนด้วยการให้เพื่อนช่วยไม่ได้หรอก มิตรภาพก็จะไม่หยั่งยืน สู้เราอย่าทำเลยยังจะดีกว่า ยังสามารถที่จะเป็นเพื่อนกันได้ยาวนานกว่านั่นเอง สรุปเลิก!

จนกระทั่งทุกวันนี้ ถ้าผมไปไต้หวัน ก็ยังคงมีเพื่อนที่รักกันอยู่อีกหนึ่งคน คือ Mr. Lee เจ้าของบริษัท King Car ผู้ผลิตกาแฟ “Mr.Brown” นั่นเองครับ

มามองที่เมียนมาในปัจจุบัน ผมเองมองว่า ทุกฝ่ายในเวทีการเมืองวันนี้ ได้เดินมาไกลมากกว่าที่เราคิดเสียแล้วครับ เพราะเราในฐานะคนนอก ได้เห็นว่าแต่ละฝ่ายต่างมุ่งที่จะเอาชนะกันอย่างเอาเป็นเอาตาย โดยทำให้เกิดความไม่สงบอย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 29 กันยายนที่ผ่านมา เราได้เห็นภาพคนถือปืนออโตเมติกยาว เดินอยู่บนถนนในกลางกรุงย่างกุ้ง ทำให้ผู้คนแตกตื่นกันไปหมด

เศรษฐกิจโดยเฉพาะค่าเงินจ๊าดหล่นลงมาอย่างกู่ไม่กลับ ไม่น่าเชื่อว่าประเทศที่ผมเคยอยู่ที่นั่นมาสามสิบกว่าปี ที่ผ่านๆมามีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากที่สุดในภูมิภาคนี้ วันนี้จะเห็นภาพเช่นนี้เกิดขึ้น สภาพเศรษฐกิจต่อจากนี้ไปจะเป็นเช่นไร? ไม่มีใครให้คำตอบได้เลยครับ หรือนี่เป็นการกระทำเพื่อชัยชนะทางสงครามจิตวิทยาเท่านั้นหรือ?

เพราะเราก็รู้ว่าหากเปรียบเทียบกันระหว่างสงครามที่ใช้กำลัง ฝ่ายไหนจะชนะหรือแพ้ คนที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ประชาชน แต่ถ้าใช้สงครามจิตวิทยาเข้ามาห้ำหั่นกัน แม้จะไม่ได้ใช้อาวุธเข้าเข่นฆ่ากัน แต่หากเศรษฐกิจพังทลาย การกอบกู้เศรษฐกิจกลับมาอีกครั้ง ประเทศจะเสียหายอย่างหนักหนาสาหัสมากเลยครับ

เราเป็นเพียงคนนอกที่เข้าไปทำมาหากินที่นั่น เหตุการณ์ครั้งนี้แม้เราจะไม่ใช่ประชาชนคนเมียนมา แต่ก็ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกันครับ

จึงอยากจะเห็นทุกฝ่ายใจเย็นๆลง แล้วรีบเปิดโต๊ะนั่งเจรจากันเถอะครับ อย่าให้เหตุการณ์ลงลึกไปมากกว่านี้เลยครับ สงสารประชาชนและประเทศชาติเถอะครับ