posttoday

เคราะห์กรรมของประชาชน

12 มิถุนายน 2564

โดย กริช อึ๊งวิฑูรสถิตย์

เมื่อวานนี้ผมได้พูดคุยกับเพื่อนท่านหนึ่ง ถึงสถานการณ์ในเมียนมาปัจจุบัน ว่าจะไปในทิศทางไหน หลังจากที่ผมได้วิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆในมุมมองของผม ที่มีทั้งผลกระทบทั้งทางด้านการพัฒนาประเทศ ด้านส้งคม เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งในปัจจุบันและอนาคต

หลังจากผมพูดจบ เพื่อนก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ แล้วบอกว่ามันมืดมนจริงๆ เพราะยังมองไม่เห็นจุดจบเลย ผมได้แต่พูดว่า คงจะได้แต่เสียดายละครับ ไม่ว่าจะจบลงอย่างไร? ใครจะมีจุดจบอย่างไร? เราคงไม่สะดวกที่จะไปวิจารณ์เขา เพราะเราเป็นแค่เพื่อนบ้านเท่านั้น

วันนี้สถานการณ์สู้รบตามหัวเมืองต่างๆ ก็ยังคงดำเนินต่อไป มีการรายงานมาที่ผมเกือบทุกวันครับ จนทำให้รู้สึกว่าอ่านมากก็เครียดแทนประชาชนชาวเมียนมา ถ้าเราอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะยิ่งเครียดหรือเปล่า?

เพราะที่ประเทศเมียนมาในวันนี้ ไม่เฉพาะที่เมืองใหญ่ๆอย่างเมืองย่างกุ้ง มัณฑะเลย์เท่านั้น เมืองเล็กๆอย่างเมือง Demoso รัฐกระหย่า หรือ Mohn yin รัฐกระฉิ่น หรือที่ เมืองMobye เมือง Hsi  seng เมือง Hopong ที่เป็นเขตปกครองตนเองปะโอ ในรัฐฉานตอนใต้  ซึ่งผมต้องขอสารภาพตรงๆเลยว่า เมืองต่างๆเหล่านี้ผมเองก็ไม่เคยไปมาก่อน หรืออาจจะเคยผ่านแต่จำไม่ได้จริงๆ จึงพอจะอนุมานเอาเองว่า น่าจะเป็นเมืองที่ไม่ใหญ่มาก เพราะถ้าเป็นเมืองใหญ่ๆผมต้องจำได้อย่างแน่นอนครับ

คงไม่ต้องทายหรอกนะครับว่า ถ้าเป็นเช่นนี้ผมจึงคิดว่า อาจจะเป็นยุทธการของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแน่นอน แต่ที่น่าสังเกตุคือ การก่อการเช่นนี้ หากชนะแล้วจะได้อะไรขึ้นมาบ้าง? หรือถ้าหากแพ้ละจะเกิดอะไรขึ้น?

หรือถ้าสถานการณ์เลวร้ายลงไป แล้วใครที่จะพบกับเคราะห์กรรมอันแสนเจ็บปวดนี้ละ? นี่คือสิ่งที่คนที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือคนที่กำลังมีอารมณ์พุ่งพล่านอยู่ อาจจะไม่ได้คิดถึงเลย

เพราะทุกๆสถานการณ์ ย่อมมีคนที่ปลุกกระแสขึ้นมา ด้วยผลประโยชน์อะไรบางอย่างแน่ๆ จึงอยากจะขอนำมาเล่าไว้เป็นอุทาหรณ์ให้พวกเราที่เป็นคนไทยได้คิด ขออย่าให้เหตุการณ์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นที่แผ่นดินทองของเราเลยครับ

เรามาดูทางฝั่งของ SAC ก่อนนะครับ ถ้าหากเขาแพ้ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองครั้งนี้ แน่นอนอย่างไม่มีข้อสงสัย ข้อหาที่ทางฝั่งชาติตะวันตกได้เตรียมมอบให้คือ “อาชญากรสงคราม”  ที่จะต้องไปขึ้นศาลอาชญากรสงครามโลก ที่เหล่าผู้นำชาติที่เขาเคยก่อการลักษณะเดียวกันนี้ขึ้นหลายชาติในโลก เคยได้รับมาแล้ว

ในส่วนของภายในประเทศเอง แน่นอนว่าข้อหาขบถคงหนีไม่พ้น ดังนั้นเราจะเห็นว่าผู้นำเหล่าทัพต่างออกมาสู้อย่างไม่มีทางเลือกเลย และต้องชนะเท่านั้นครับ

ส่วนฝั่งของรัฐบาลเงาหรือพรรค NLD นั้น กรณีถ้าแพ้ขึ้นมา (ซึ่งด้วยความเป็นจริงแล้ว ทุกวันนี้ก็อยู่ในสถานะผู้แพ้อยู่แล้ว) เพียงแต่ทางตัวเขาเองยังไม่ยอมรับผลที่เกิดขึ้นมา แต่เลือกที่จะสู้ต่อเพื่อให้เกิดความหวังว่าจะชนะ หรืออาจหวังว่าจะมีต่างชาติเข้ามาช่วยเขา

แต่ถ้าการต่อต้านรัฐบาลเกิดกระทำการไม่สำเร็จ ถึงอย่างไรก็คงถูกไล่ล่าหรือถูกจับกุมก็เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว สู้ไม่สู้ก็มีค่าเท่ากัน  เมื่อเป็นเช่นนี้เขาจึงพยายามสู้แบบหลังชนฝาอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง

ในส่วนของภาคฝั่ง CDM ละครับ เชื่อว่าทุกคนที่ออกมาเดินขบวนเรียกร้องอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ก็เพราะมีเป้าหมายอยากได้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น หรือต้องการให้ประเทศปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย

ทั้งๆที่เขาเหล่านั้นเกิดมาเพิ่งจะเจอประชาธิปไตยเพียงไม่เกิน 12 ปีเท่านั้น และประชาธิปไตยที่เขาเจอนั้น เป็นเพียงแค่ไม่ถึงครึ่งของประชาธิปไตยที่ประเทศทั่วไปมีอยู่ แต่ความมีอิสระและความมั่งคั่งที่เขาเคยได้รับมา ทำให้เขาเหล่านั้นเริ่มมองเห็นและไม่อยากจะเสียมันไป จึงได้ออกมาเดินบนถนน เพื่อต่อสู้แบบอาริยะขัดขืนกัน แต่ก็ต้องแลกมาซึ่งการถูกไล่ล่าและจับกุม เผลอๆถ้าดวงไม่ดีถูกออกหมายจับและถูกจับได้ จะต้องสูญเสียอิสระภาพอีกนานเท่าไหร่ก็ยังไม่รู้ นี่คือด้านมืดที่เขาอาจจะรู้ แต่ก็อยากจะเสี่ยงดวงกันดูครับ

ส่วนประชาชนทั่วไปละ วันนี้คนที่น่าสงสารที่สุดคือประชาชนตาดำๆนี่แหละครับ เพราะการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายในประเทศเมียนมานั้น รุนแรงกว่าตอนยุคเสื้อเหลืองเสื้อแดงของประเทศไทยอีกเป็นไหนๆ คนที่เมียนมาวันนี้ไม่มีคำว่าเป็นกลางเหลืออยู่เลยครับ ทุกคนถ้าบอกว่า “อยู่ตรงกลาง” ไปเจอกลุ่มคนเสื้อแดง(ฝ่ายคนของ CDM)ก็จะถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนของฝ่ายเสื้อเขียว (ฝ่ายทหารหรือ SAC) แต่ถ้าไปเจอกลุ่มคนเสื้อเขียว ก็จะถูกต้องสงสัยว่าเป็นคนเสื้อแดงอีก เฮ้อ....อยู่ยากจริงๆ

แต่ว่าสิ่งที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบขึ้นในบ้านในเมือง คนที่รับเคราะห์กรรมมากที่สุด กลับเป็นประชาชนครับ “เนื้อไม่ได้กินหนังไม่ได้รองนั่ง กลับเอากระดูกมาแขวนคอ”

เพราะวันนี้เศรษฐกิจพังย่อยยับ สินค้าทุกประเภทขึ้นราคากันหมด อีกทั้งงานการไม่สามารถทำได้ เงินในกระเป๋าร่อยหรอลงไป คนเหล่านั้นคือประชาชนครับ นี่คือความจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ

 “ดูหนังดูละคร แล้วกลับมาย้อนดูตน” วันนี้เราคนไทยทุกคน น่าจะเคยผ่านยุคความขัดแย้งกันมาแล้ว สุดท้ายเป็นไงละครับ คงไม่ต้องอธิบายกันมาก ผมคิดว่าคนไทยต้องอย่าให้มีการแกร่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันมากจนเกินงาม อย่าได้ทำให้สถานการณ์เกิดมีปัญหาอย่างเช่นที่เราเห็นกันในประเทศเพื่อนบ้านเรา

จงช่วยกันฝ่าฟันอุปสรรคใหญ่จากสาเหตุของโรคร้าย COVID-19 ที่กำลังระบาดอยู่ ช่วงนี้ก็ต้องลำบากกันทุกคน ในโลกใบนี้ผมไม่เห็นมีประเทศใหนที่ไม่มีปัญหาเลย

ส่วนจะฟื้นเร็วฟื้นช้า ก็ต้องรอดูการบริหารบ้านเมืองของผู้หลักผู้ใหญ่กันต่อไป สู้ๆๆๆๆครับ