ความอลวนที่ด่านชายแดน
โดย กริช อึ๊งวิฑูรสถิตย์
ช่วงอาทิทย์นี้เกิดความอลวนขึ้นที่ชายแดนไทยด้านเหนือสุดของประเทศไทยอันเกิดจากการลักลอบข้ามมาจากท่าขี้เหล็กซึ่งผมพยายามเตือนมาเป็นเวลากว่าสามเดือนมาแล้ว
เพราะการระบาดระลอกสองของไวรัสร้าย ซึ่งผมเองเคยคาดการณ์ไว้แล้วว่า จะต้องเกิดปัญหานี้ขึ้นแน่ เพราะคนที่ติดเชื้อ COVID-19 ระลอกสองในเมียนมานั้นรุนแรงไม่หยุดมาตลอดเวลา
ดังนั้นไม่ต้องหาหมอดูก็พอจะมองออกว่าอะไรจะเกิดครับ
เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นเพียงคนไทยที่อยากกลับบ้านจึงเป็นเพียงระลอกแรกของการหนีภัยเท่านั้นเราต้องระวังระลอกสองที่จะตามอีกไม่นานนะครับ
เพราะจะเป็นการหนีภัยเข้ามาของชาวเมียนมาที่หวั่นเกรงจากโรคร้ายที่ผมคาดการณ์เช่นนี้ไม่ได้จะบอกว่าใครผิดใครไม่ดีหรือไปว่าใครหละหลวมหรือไม่อย่างไร
ด้วยความเคารพและปารถนาดี ในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบของบ้านเมืองทุกท่าน เพราะสรรพกำลังของท่าน ท่านได้ทุ่มเทเต็มที่อยู่แล้ว เพียงแต่ทหารจะออกรบในสมรภูมิ จะต้องมีอาวุธ ท่านให้อาวุธเขาแล้ว ต้องมีกระสุนให้ด้วย จึงจะสู้รบปรบมือเขาได้
และอย่าลืมอีกอย่างคือกองหนุน ที่เป็นทั้งยุทโธปกรณ์และอาหารต้องพร้อมแต่วันนี้กองกำลังของเราตามชายแดน
เท่าที่ผมได้มีโอกาสประชุมร่วมผ่านทางออนไลน์เขารู้สึกโดดเดี่ยวมากโดยเฉพาะกลุ่มแพทย์พยาบาลที่ด่านชายแดนที่กำลังช่วยพวกเราคัดกรองผู้คนที่เดินทางเข้าออกตามด่านชายแดน
บางท่านถึงกับไลน์มาคุยส่วนตัวกับผมว่า “หนูอยากลาออกวันละหลายๆหน” ผมก็ได้แต่ปลอบใจไปว่าหมอทำไปเถอะเพื่อประเทศชาติจะได้อยู่รอดปลอดภัยสิ่งที่เกิดขึ้นหรืองบประมาณที่ยังไม่ได้ตกมาถึงก็ลองปรึกษากับผู้ใหญ่ใจดีประจำจังหวัดดูท่านอาจจะหาทางออกให้ได้นะครับ
ผมอยากจะเล่าถึงความยากลำบากในการดูแลชายแดน เพราะที่เคยพูดมาตลอดว่าชายแดนไทย-เมียนมามีความยาวถึงสองพันสี่ร้อยกว่ากิโลเมตร
ดังนั้นช่องทางธรรมชาติที่จะสามารถหลบหนีเข้ามาในประเทศไทยนั้นเยอะมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่องทางที่ไม่มีเครื่องกีดขวางธรรมชาติ เช่นแม่น้ำหรือหุบเหวที่พอช่วยแบ่งเบาภาระหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ได้
อีกทั้งเครื่องกีดขวางที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็มีขีดจำกัดทางงบประมาณแผ่นดินมากเพราะพื้นที่ยาวมากดังที่กล่าวดังนั้นการทำงานของเจ้าหน้าที่จึงยากลำบากมากช่องทางที่มีด่านเจ้าหน้าที่เองก็ทำงานกันหนักมากไหนจะต้องคัดกรองผู้คนไหนจะรถขนส่งที่จะผ่านแดน
ผมเอาแค่ด่านแม่สอด-เมียวดีด่านเดียว ก็มีรถที่จะผ่านแดนทั้งไทยทั้งเมียนมา ก็ประมาณวันละ 4-600 คัน คนขับกับผู้ติดตาม ก็มีมากถึง 600 คนแน่นอน
ท่านคิดดูว่าใช้เวลาตรวจคัดกรองคนละ 10 นาที ก็ต้องใช้เวลา 6,000 นาทีเท่ากับ 10 ชั่วโมงหมดไปแล้ว วิธีการทำงานของเจ้าหน้าที่ คือรถที่วิ่งข้ามแดน จะต้องผ่านด่านทั้งด่านศุลกากร แล้วนำรถเข้ามาจอดที่ลานจอด เพื่อที่จะทำการแมสชิ่งกับรถของเมียนมาที่มารอขนถ่ายสินค้า (นี่หมายถึงรถขนาดหกล้อลงมานะครับ
ถ้าเป็นรถใหญ่ ก็จะขับข้ามไปขนถ่ายกันที่ฝั่งเมียนมาเลย) การขนถ่ายช่วงนี้จะเป็นภาระหน้าที่ของกองกำลังทหารที่เข้ามาช่วยเหลือในช่วงระยะนี้
ส่วนคนที่ติดมากับรถ ก็จะเข้าสู่พิธีการตรวจคัดกรอง ซึ่งผู้ที่เคยถูกคัดกรองมาก่อนแล้วภายใน 7 วันก็จะไม่ต้องถูกตรวจที่เข้มข้นด้วยการแยงจมูกส่วนคนที่ไม่เคยถูกตรวจมาก่อนก็จำเป็นต้องทำ
จะเห็นว่างานที่เจ้าหน้าที่ต้องทำในด่านถูกกฏหมายมันก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้วครับแล้วยิ่งมาเจอเคสที่เจอผู้ติดเชื้อเข้าไปอีกก็พอจะนึกภาพออกว่าจะอลวนวุ่นวายกันอย่างแน่นอนครับ
ส่วนที่ด่านชายแดนอื่นๆผมต้องสารภาพว่ายังไม่ได้ไปดูของจริงแต่ก็พอจะนึกภาพออกนะครับว่ามันคงจะหนักไม่แพ้กัน
ในด้านการตรวจตราบุคคลที่หลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาตินั้นถ้าจะต้องติดตามป้องกันก็เป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคงซึ่งมีทั้งตำรวจทหารซึ่งต้องคอยลาดตะเวณกันตลอดเวลา
เท่าที่ทราบมาจากพื้นที่เขาเองก็บ่นเหนื่อยเหมือนกันแต่ก็ต้องทำนะครับเพราะเป็นภาระหน้าที่ต้องปฏิบัติอยู่แล้วในเรื่องของกำลังบำรุงที่เป็นผลตอบแทนพอผมถามเขาเขาเองก็บอกว่าเท่าเดิมแหละพี่ผมเลยไม่เข้าใจว่าเท่าเดิม คืออะไร
อย่างไรก็ตามในส่วนตัวผมคิดแบบนักธุรกิจนะครับถ้าเรามีอะไรที่ให้เป็นประโยชน์เขาเพิ่มเติมหรือช่วยเหลือเขามากกว่าเดิมก็คงจะดีไม่น้อยนะครับ
เพราะงานวันนี้ เราต้องช่วยกันสกัดกั้น อย่าให้เล็ดลอดเข้ามาสร้างความปั่นป่วนได้โดยเด็ดขาด เพราะว่า “ด่านนอกถ้าไม่แข็ง ด่านในก็ถูกตีแตกได้ง่ายๆ” เลยครับ
ต้องช่วยกันส่งกำลังใจให้เขานะครับ คนทำงานจะได้มีกำลังใจช่วยเราปกป้องให้ประเทศไทยรอดพ้นจากภัยครั้งนี้ได้ครับ