posttoday

แก้ไขดีกว่านั่งรอ.......

12 กันยายน 2563

โดย กริช อึ๊งวิฑูรสถิตย์

ช่วงนี้สถานการณ์ในเมืองย่างกุ้งทุกวันนี้ การระบาดของโรคร้าย COVID-19 รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ข่าวที่ออกมาทำให้เชื่อมั่นว่าการระบาดรอบสองนี้รุนแรงมาก

ถ้าหากไม่มีวัคซีนยังไม่มีใครคิดค้นออกมา ก็ไม่รู้ว่าจะมีการสูญเสียไปอีกสักกี่ชีวิตเศรษฐกิจจะเสียหายไปอีกสักเท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถตอบได้ ได้แต่อ้อนวอนขอพรจากพระเจ้าเท่านั้นในช่วงสิบกว่าวันมานี้ การแพร่ระบาดค่อนข้างจะรุนแรงมากๆ จำนวนผู้ติดเชื้อที่ก้าวกระโดดมาโดยตลอด เช้าค่ำตัวเลขจะไม่นิ่งเลย

ในวันที่ 9 กันยายน ตอนเช้า 8:00น. ทางการประกาศจำนวนผู้ติดเชื้อ 1,807 ราย แต่พอค่ำ 20:00 น. ประกาศว่าเพิ่มขึ้นอีก 82 ราย เป็นทั้งหมด 1,889 ราย ส่วนในวันที่ 2กันยายนที่ผ่านมา เมืองย่างกุ้ง เขตที่มีผู้ติดเชื้อที่รุนแรงและทางการได้ประกาศใช้มาตรการเข้มข้นมีทั้งหมด 7 เขต มี ติ่งกันจุน อินเซ่ง เมียวอ๊อกกะล่า ต่าเกต้า ไลน์ และปะซุ่นต่อง พอวันที่ 9 มีเพิ่มขึ้นเป็น 21 เขตที่จะต้องใช้มาตรการดังกล่าว

นี่คือการก้าวกระโดดของเจ้าโรคร้าย COVID-19 ระลอกสองที่สร้างความกังวลใจเป็นอย่างยิ่งให้เรา โดยเฉพาะการค้า-ขายที่นั่น ถูกผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ

ร้านค้าต่างๆได้เอาแผ่นไม้มากั้นไม่ให้คนเข้าร้าน ทางร้านจะเอาพลาสติกใสมาทำเป็นม่านกั้นระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ถ้าจะซื้อหาสินค้าก็ต้องตะโกนเรียกผู้ขาย ทางผู้ขายก็จะส่งสินค้าให้โดยใส่ตะกล้าเล็กๆ มีไม้ต่อยื่นให้ทางผู้ซื้อก็เอาเงินใส่ตะกล้าให้ผู้ขาย เป็น New Normalที่ตลกร้ายมากๆที่ในชีวิตไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นจริงๆ

ส่วนตัวเลขยอดขายไม่อยากพูดถึงเลยครับ ยอดขายตกลงไปเกินครึ่ง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายก็ยังคงไม่ค่อยลดลงเท่าไหร่ เพราะกฏหมายที่นี่ หากเลิกจ้างแรงงาน จะต้องชดเชย 3 เดือน และถ้าหยุดไม่ให้มาทำงาน ก็จะต้องจ่ายค่าแรง 20% ของเงินเดือนทุกกรณีไม่ยกเว้น

ถ้ามาดูด้านเศษฐกิจมหภาค การค้าระหว่างประเทศได้รับผลกระทบอย่างมากเช่นกัน เหตุเพราะทางผู้ประกอบการร้านค้าที่เป็นปลายท่อ เขาขายสินค้าได้ยาก ย่อมส่งผลมาที่ต้นทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ครับ เพราะฉนั้นหากเรานั่งนิ่งเฉยๆ โดยไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อแก้ไข ก็ได้แต่รอวันที่จะเลิกกิจการอย่างแน่นอนครับ

ดังนั้นจึงต้องดิ้นรนหาช่องทาง เพื่อจะทำให้อยู่รอดปลอดภัยจากผลกระทบของการอาละวาดของเจ้าวายร้าย COVID- 19 และต้องผ่านมันไปให้ได้ครับ ที่บริษัทฯของผม ช่วงแรกๆที่เกิดปัญหานั้นเราเองก็พยายามไม่เลิกจ้างงาน แต่ให้พนักงานพัฒนาความรู้ด้าน AI เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาด

หลังจากที่เราทำการตลาดแบบออฟไลน์ ที่เป็นการค้าปกติตามที่ทำกันมาชั่วนาตาปี แต่ที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่คือออนไลน์เข้ามาสู่วงการค้า เราเองต้องพัฒนาพนักงานของเรา เพื่อเตรียมการใว้ในอนาคตอันใกล้นี้ แต่พอทำไปๆ ชักจะหมดมุก เพราะการระบาดของเจ้าวายร้าย COVID-19 มันไม่หยุดลงเสียที ประเทศเมียนมาก็เหมือนกับประเทศไทยเราที่ยังไม่สามารถเปิดให้เครื่องบินเดินทางได้เสียที สนามบินก็ปิด ทำให้สิ่งทีเราวางแผนใว้ทุกอย่างต้องถูกเลื่อนออกไปหมด

ในขณะที่ด้านการขนส่งสินค้าในประเทศและโลจีสติกส์ก็เริ่มติดๆขัดๆ ส่งผลให้การนำเข้าสินค้ามีความยุ่งยากตามไปด้วย ดังนั้นเราจึงต้องเปลี่ยนแผนหลายๆอย่างเลยครับสิ่งที่จำเป็นจะต้องทำในการอยู่รอดของธุรกิจนั้น มีอยู่สองทางหลัก คือ เพิ่มยอดขายให้ได้ หรือต้องลดค่าใช้จ่ายให้ได้

ถ้าตามหลักเศรษฐศาสตร์ก็ คือ Maximize profit Minimize cost นี่คือหลักการจริงๆ ที่สามารถนำมาใช้ในยุคนี้อย่างเห็นผลเลยครับ ที่พูดนะง่ายแต่ทำยากมาก ก็ต้องทนทำใครจะนำไปใช้ผมก็ยินดีนะครับ การที่เราจะเพิ่มยอดขายมีอยู่หลายวิถีทาง คือ ต้องเพิ่มตัวสินค้า เพิ่มจุดขายหรือลูกค้าให้มากๆ เพิ่มพนักงานขาย (แต่วิธีนี้จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น) เพิ่มประสิทธิภาพของพนักงานขาย

ส่วนการลดต้นทุนหรือลดค่าใช้จ่าย ก็สามารถทำได้หลายวิถีทางมาก เช่น การหาต้นทุนที่เกิดขึ้นในอดีตที่ผ่านมาว่ามีจุดไหนที่ฟุ่มเฟือยโดยไม่จำเป็นที่จะลดลงได้บ้าง ลดค่าน้ำ-ค่าไฟ ลดต้นทุนภาษีนำเข้าสินค้า โดยหาสินค้าที่ผลิตภายในประเทศมาเฉลี่ยบ้าง ลดการทำการตลาดด้านโฆษณาหันไปใช้วิธีการเข้าถึงลูกค้าในด้านอื่นๆ ลดค่าจ้างแรงงานโดยเลย์เอาท์พนักงาน(วิธีนี้จะใช้เมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น)

ผมต้องพูดว่านี่คือหลักการเท่านั้น ทางบริษัทฯผมก็จะเลือกใช้บางกรณีเท่านั้นนะครับในที่สุดสิ่งที่เราได้เตรียมการใว้และนำมาใช้ก่อนล่วงหน้า เพราะคาดว่าสักวันจะต้องมีการระบาดของเจ้าวายร้าย COVID-19 ระลอกสองเกิดขึ้น หากแนวโน้มของการติดเชื้อทั่วโลกไม่หยุดลง และวัคซีนป้องกันโรคนี้ยังไม่มีการคิดค้นสำเร็จ ผมเองจึงหวั่นใจว่าวันนั้นจะมาถึงจึงได้เตรียมการใว้ก่อนล่วงหน้า

ซึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมามันก็มาแล้วจริงๆครับ จึงอยากจะฝากถึงผู้ประกอบการในประเทศว่าอย่านอนใจและเชื่อมั่นจนเกินไปนะครับ ท่านเองก็ควรจะต้องเตรียมการไว้บ้างแต่ก็ไม่ต้องถึงกับตื่นตระหนกนะครับ เอาแค่พอหอมปากหอมคอ

คิดเสียว่านี่คือรสชาติของชีวิตก็แล้วกันนะครับ สู้ๆๆๆ