posttoday

สถานการณ์วันต่อวันในเมียนมา

30 มีนาคม 2563

โดย กริช อึ๊งวิฑูรสถิตย์

วันที่ผมเขียนบทความวันนี้วันที่ 24 มีนาคม สถานการณ์ของโรคร้าย COVID19 ยังร้อนแรงไม่เลิกเลยครับ ถ้าไม่เขียนถึงก็คงไม่ได้แล้ว เพราะทุกคนต่างใจจดใจจ่อกับสถานการณ์กันทุกคน

อีกทั้งที่ประเทศเมียนมาก็มีความคืบหน้าที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังได้ตลอด เพราะที่นั่นก็พลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย สิ่งที่เกิดขึ้นที่นี่ย่อมส่งผลกระทบถึงที่โน่น

อีกอย่างผมเชื่อว่าหลายๆท่านก็มีญาติโกโหติกาทำงานหรือค้าขายอยู่ที่นั่นหลายท่านก็ยังอยากได้ยินทุกเรื่องราวอยู่นะครับ ผมจะพยายามให้ท่านสบายใจ ไม่ตื่นตระหนกกันจนเกินไป ด้วยความปรารถนาดีครับ

อย่างที่เราทราบกันดีว่า ในวันพุธที่ 18 มีนาคม ที่ผ่านมา ทุกอย่างในประเทศไทยยังมีอาการอกสั่นขวัญแขวนอยู่ว่า มีผู้ติดเชื่อเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ ทางผมเองหลังจากที่เข้าไปประชุมที่กระทิงแดง เนื่องจากเวียดนามได้ประกาศปิดพรมแดนทั่วทั้งประเทศทำให้เราต้องรีบประชุมหาทางออกกัน หลังจากกลับมาถึงบริษัทฯ

ผมได้เรียกประชุมพนักงานระดับหัวหน้าแผนกทุกฝ่าย ผมตัดสินใจว่า หากภายในระยะนี้ทางการไม่ประกาศชัดเจนถึงนโยบายที่จะสกัดกั้นใดๆกับประชาชน ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการกระจายอย่างแน่นอน เมื่อถึงวันที่ 28 มีนาคม หากมีผู้ติดเชื้อ COVID19 เกินกว่า 1000 คน ทางบริษัทของผมจะต้องปิดร้านอาหารอาจิเซน ราเมน ยุติการดำเนินการขายเป็นการชั่วคราวก่อน เพื่อปกป้องพนักงานและลูกค้าของเราก่อนเป็นอันดับแรก

อีกประการหนึ่งเราต้องช่วยกันสกัดกั้นเชื้อร้ายนี้บ้าง แม้เราจะเป็นส่วนเล็กๆของสังคม จึงขอให้พนักงานทุกคนเตรียมตัวเตรียมใจกันใว้ เพื่อประเทศชาติเราจะได้ไปต่อให้ได้

โชคดีที่เมื่อวันเสาร์ที่ 21มีนาคม ทางรัฐบาลไทยได้ประกาศมาตรการป้องกันออกมาอย่างที่ท่านทราบกันทั้งหมดแล้ว ถือว่าเป็นข่าวดีมากๆ ที่ทางภาครัฐได้รีบปฎิบัติการอย่างรวดเร็ว ในวันอังคารที่ผมเขียนบทความอยู่นี้ ทางการได้ออกประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกมาใช้ ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคมนี้เป็นต้นไป

และยังมีประกาศระเบียบการชดเชยให้กับแรงงานและผู้ที่ได้รับผลกระทบต่อภัยร้ายCOVID19 ด้วย นับว่าเป็นข่าวดีที่น่าชื่นชมครับ เพราะถ้ายังคงยึกยักกันต่อไปความเสียหายและสูญเสีย คงจะเหลือคณาเลยละครับ

อย่างไรก็ตามอย่างที่ผมเคยพูดตลอดว่า “ฝนที่ตกอยู่ทางโน้น หนาวถึงคนทางนี้”เมื่อทางรัฐบาลไทยประกาศมาตรการควบคุมโรคร้าย ซึ่งหนึ่งในข้อกำหนดก็คือการที่จะปิดพรมแดนทุกด่าน ทำให้เกิดความหวาดวิตกต่ออนอแรงงานที่มาจากประเทศรอบด้านของเราทั้งหมด

ต่อมาตอนเช้าตรู่ของวันอาทิตย์ที่ 22 เวลา 7 โมงเช้า น้องผมคุณสมจิตที่อยู่แม่สายก็ได้ถ่ายคลิปวีดีโอโพสต์ลงในไลน์มาให้ดูว่า ที่ด่านอำเภอแม่สาย มีแรงงานเมียนมาที่เข้ามาทำงานในภาคเหนือของเราพากันแห่แหนไปออกันที่ด่านทางเข้าเมืองท่าขี้เหล็กอย่างเนืองแน่นเห็นแล้วน่าตกใจยิ่ง เพราะเราไม่มีทางรู้ว่าใครบ้างที่เป็นพาหะนำเชื้อโรค COVID19 กลับไปฝากญาติมิตรที่บ้านเกิดบ้างนั่นเอง

ในทางด้านด่านอำเภอแม่สอดก็เริ่มมีคนมาออกันที่ด่านตั้งแต่คืนวันเสาร์ที่ 21 เช่นกันหลังจากที่ทางการไทยได้เริ่มประกาศนโยบายการสกัดกั้นแล้ว ในวันอาทิตย์ที่ 22จึงเกิดการโกลาหลกัน การอพยพของแรงงานเมียนมาครั้งใหญ่เกิดขึ้นต่อเนื่องจนกระทั่งลากยาวมาถึงวันอังคารนี้ วันที่ผมเขียนบทความอยู่ ยังมีผู้คนพี่น้องแรงงานเมียนมาแห่แหนแตนแต้กันอยู่ เขาต่างเกรงว่าจะกลับบ้านไม่ได้

ยิ่งใกล้วันขึ้นปีใหม่เขา คือวันสงกรานหรือตะแจ่นเย่ ทุกคนต้องหาทางกลับบ้านเพื่อไปกราบเท้าพ่อแม่ ญาติผู้ใหญ่ และผู้มีพระคุณกัน จึงทำให้แรงงานทุกคนต้องหาทางกลับบ้านกันให้ได้ครับ

เพราะนี่คือวัฒนธรรมของเขา แม้จะเสี่ยงตายก็จำเป็นที่จะต้องกลับให้ได้ครับส่วนในเมืองย่างกุ้งนั้น ผมได้รับโทรศัพพ์ติดตามข่าวคราวจากน้องๆที่บริษัทฯตลอดเวลาครับ ทั้งฝั่งบริษัท EUI จำกัดของผม และสำนักงานสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมเมียนมา-ไทย ต่างส่งรายงานมาตลอดเวลาครับ

ที่ฝั่งบริษัทฯผมมีน้องจิมฝ่ายการตลาดที่เป็นคนไทย ได้เดินทางไปทำการตลาดที่เมืองเมาะละแมงอยู่เกือบเดือนแล้ว ผมได้โทรศัพพ์ไปเรียกให้น้องจิมเดินทางกลับย่างกุ้งโดยทันที เพราะเกรงว่าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นจะเป็นอันตรายได้

ส่วนที่ย่างกุ้งก็สั่งการให้น้องๆทุกคนถ้าไม่จำเป็น ก็อย่าออกนอกบริษัทฯโดยเด็ดขาดหากจะออกไปต้องมีการป้องกันอย่างเข้มงวด ทั้งหน้ากากอนามัย เจลล้างมือ ถุงมือต้องเอาออกมาให้พนักงานใช้อย่างเข้มงวด และให้พนักงานทานอาหารในห้องอาหารบริษัทเท่านั้น ห้ามออกไปเดินเล่นลอยชายเด็ดขาด

ในตอนเช้าวันอังคารที่ 24 มีนาคม เริ่มจากเมื่อวานมีการประกาศของการบินไทยจะทำการหยุดบินเข้าสู่ย่างกุ้ง โดยเที่ยวบินสุดท้ายคือเที่ยวค่ำของวันนี้ ทำให้น้องๆจากบริษัทต่างๆหลายบริษัทที่ย่างกุ้ง โทรมาปรึกษาตั้งแต่เช้าตรู่ ถามว่าจะทำไงดีกับสถานการณ์เช่นนี้ ผมได้ตอบไปว่า พนักงานคนไทยของบริษัทผมทุกคน ผมให้อยู่นิ่งๆ อย่าได้เคลื่อนไหวไปไหน เพราะการเดินทางที่มีผู้คนเยอะๆ แออัดกันมากๆจะเป็นแหล่งกระจายเชื้อโรคได้ง่ายที่สุด และเสี่ยงมากที่จะเร่งรีบเดินทางในตอนนี้

ช่วงสายๆต่อมา ทางคุณสุพันธ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยก็โทรมาขอความเห็นเช่นกัน ผมก็ให้ความเห็นไปว่า สถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้คือ อยู่ในบ้านที่ไม่ต้องสื่อสัมพันธ์กับบุคคลภายนอก คือสิ่งที่ควรทำและปลอดภัยที่สุด

บ่ายๆก็ได้ที่มีอีกหลายบริษัทติดต่อเข้ามา เรียกว่าวันนี้เป็นวันที่โกลาหลที่สุดบ้างก็เล่าว่าน้องคนไทยที่ประจำการที่เมียนมาขวัญเสียมาก อยากจะกลับไทยให้ได้ผมจึงบอกไปว่าให้น้องใจเย็นๆ อย่าตระหนกตกใจมาก หากกลับมาแล้วทิ้งทุกอย่างเลยจะเกิดความเสียหายมาก ให้ค่อยๆดูสถานการณ์ และรักษาตัวเองให้ดีก็เพียงพออีกอย่างนี่ไม่ใช้สงครามที่เอาอาวุธมายิงกัน ดังนั้นไม่ควรจะตื่นตระหนกเพราะยังสามารถที่จะกลับได้ตลอดเวลา

จะมีเพียงสายการบินไทยสายเดียวที่หยุดให้บริการสายการบินอื่นยังสามารถใช้บริการได้ยังมีอีกเยอะ ถ้าจะซื้อตั๋วแพงขึ้นมาอีกนิดก็ยังดีกว่าจะสูญเสียทุกอย่างไป สุดท้ายทุกคนจึงนิ่ง และค่อยๆแก้สถานการณ์กันไปวันต่อวันจะดีที่สุดครับ เพราะไหนๆก็ไหนๆแล้ว

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่เราคนเดียว ทุกคนควรจะเอาตัวเองให้รอดก่อนให้ติดตามข่าวสารจากทางสภาธุรกิจไทย-เมียนมา หรือ ที่สถานฑูตไทยประจำเมียนมากันต่อไปครับ