posttoday

บรรยากาสของการสู้คดี

30 ธันวาคม 2562

โดย กริช อึ๊งวิฑูรสถิตย์

เมื่อวันที่ 8-12 ธันวาคม ที่ผ่านมา ผมได้เดินทางจากเมืองมะริดเข้ามายังเมืองย่างกุ้ง เพื่อดูแลบริษัทที่เมียนมา ทำให้เห็นบรรยากาศของประชาชนผู้รักชาติของชาวเมียนมาได้ออกมาร่วมแรงร่วมใจกันให้กำลังใจแก่ผู้นำของเขาในการเดินทางไปให้การต่อศาล
ยุติธรรมระหว่างประเทศ (IJC) หรือ ศาลโลกเพื่อสู้คดี ณ.กรุงเฮก ประเทศเนเธอแลนด์

จากการกล่าวหาของรัฐบาลแกมเบียว่ากองทัพรัฐบาลเมียนมาปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชาวโรฮิงญา ซึ่งทำให้ผมมีความรู้สึกอิจฉาชาวเมียนมามากที่เวลามีปัญหาหนักๆเข้ามาสู่ประเทศชาติ เขาจะออกมาช่วยกันปกป้องชาติของเขา

คนที่ไม่มีกำลังพอเขาก็จะออกมาแสดงออกถึงการให้กำลังใจ ออง ซาน ซูจี ที่กำลังจะเดินทางไปต่อสู้คดีความ

จึงอยากจะนำมาเล่าเพื่อให้คนไทยเราจงรักกันใว้เถิด ยามนี้ชาติกำลังต้องการกำลังใจ คดีนี้เกิดจากปฐมเหตุเมื่อประมาณปี 2017
ซึ่งเกิดจากกองทัพปลดปล่อยโรฮิงญาแห่งอารากันในเขตรัฐยะไข่ได้มีการสู้รบกับกองกำลังชาวพุทธทำให้ลามปามมาที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ

และเมื่อที่ใดมีปัญหากับตำรวจ มักจะเกิดความไม่พอใจได้ง่ายเสมอ
คงเป็นเพราะตำรวจนั้นคือหนังหน้าไฟที่ใกล้ประชาชนมากที่สุดนั่นเอง เลยลามมาถึงได้ง่าย และมีการเผาป้อมยามตำรวจไปหลายแห่ง

เจ้าหน้าที่บ้านเมืองเลยเข้าไปทำการปราบปราม ทำให้เกิดการสู้รบกันระหว่างตำรวจกับชาวโรฮิงญา นำไปสู่การฆ่าข่มขืนชาวโรฮิงญาเกิดขึ้นซึ่งทางรัฐบาลเมียนมาเองก็ได้ออกมาแสดงความรับผิดชอบด้วยการบอกว่าจะจับกุมเจ้าหน้าที่ที่กระทำการดังกล่าวนั้น แล้วข่าวก็เงียบหายไป

พอมาดังอีกครั้งหลังจากมีการปล่อยคลิปการสังหารชาวโรฮิงญาลงใน Facebook และ YouTube คราวนี้เรื่องเลยดังไปทั่วโลก ทำให้ทางรัฐบาลแกมเบีย ซึ่งเป็นสมาชิกประเทศกลุ่มมุสลิมจึงออกมาเป็นหัวหอกในการฟ้องร้องไปยังศาลโลกครับ

ท่าน ออง ซานซู จี ก็ออกมาให้ข่าวในเชิงลบว่า หากชาวมุสลิมพอใจที่จะอยู่อาศัยในประเทศเมียนมา ก็ควรต้องเคารพกฏหมายและกติกาการอยู่ร่วมกันระหว่างชาวพุทธที่เป็นคนกลุ่มใหญ่
ในเมียนมากับชาวมุสลิม หรือ หากไม่พอใจที่จะอยู่ก็สามารถเดินทางไปอาศัยอยู่กับประเทศมุสลิมอื่นๆได้

นี่อาจจะเป็นชนวนอีกจุดหนึ่งที่ทำให้เกิดการไม่พอใจและฟ้องร้องต่อยุติธรรมระหว่าง ประเทศหรือศาลโลก (IJC)ได้อีกก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำเรื่องเข้าสู่ขบวนการไตร่สวน ท่าน ออง ซานซู จี ก็แสดงความเด็ดเดี่ยวด้วยการขอเป็นผู้นำขบวนไปให้การด้วยตนเอง ในวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมา เราจึงได้เห็นภาพและบรรยากาศของการดำเนินคดีในศาลโลกอีกครั้ง

ส่วนประชาชนผู้รักชาติชาวเมียนมา ต่างก็ออกมาแสดงการสนับสนุนท่าน ออง ซานซู จี ด้วยการติดป้ายตามเมืองสำคัญน้อยใหญ่ต่างๆ

อีกทั้งพอใกล้วันเริ่มไตร่สวน เราจะเห็นป้ายว่า “เราจะอยู่เคียงข้างท่านออง ซานซู จี” “เราสนับสนุนแม่ ซูจี ของเรา”
เต็มไปหมด

จากนั้นในวันที่ 9 ธันวาคม ในเมืองย่างกุ้งก็มีการนัดหมายกันไปร่วมแสดงพลังกันที่หน้าเจดีย์สุเหร่ และหน้าอาคาร YCDC มีการแต่งหน้าแต่งตากันด้วยธงชาติ ใส่เสื้อสีแดงกัน มีธงของพรรค NLD ไปแสดงพลังกันหลายพันคน

ผมเองแม้จะเป็นคนไทยที่ทำมาหากินที่นั่น ยังไม่วายถูกเพื่อนชาวเมียนมาชักชวนให้ไปรวมพลัง แต่ผมต้องปฏิเสธไป เพราะไม่อยากจะมีส่วนร่วมกับการเมืองไม่ว่ากรณีใดๆ เลยได้แต่อยู่บ้านดูข่าวและส่งแรงใจไปเท่านั้นครับ

หันกลับมามองดูสิบกว่าปีที่ผ่านมาในประเทศไทยเราเอง เราจะเห็นแต่ความขัดแย้งในประเทศไทยเราไม่จบไม่สิ้น พวกเราประเดี๋ยวเป็นคนเสื้อเหลือง ประเดี๋ยวเปลี่ยนเป็นคนเสื้อแดง
บางคนเป็นมันทั้งสองฝั่ง

บางขณะก็เปลี่ยนเป็นก.ป.ป.ส.ก็มี อาจจะเป็นเพราะว่ามีการชักชวนอย่างเป็นระบบ บางคนยังไม่รู้ว่า “อุดมการณ์”เป็นอย่างไร ซึ่งหากเป็นกรณีเพื่ออุดมการณ์ทางการเมืองจริงๆแล้ว ผมก็ขอคารวะด้วยใจ แต่บางคนก็เอามันส์อย่างเดียว เห็นเขาไปเดินขบวนก็ไปเดินด้วยที่ไปหาข้าวที่ม๊อบกินฟรีก็มี บางคนไปฟังคำปราศัยของนักการเมืองเอามันส์ก็มี

อันนี้ผมเองเห็นแล้วก็ไม่สบายใจ ทำมั้ยไม่สงสารประเทศชาติบ้านเมืองกันเลยหรืออย่างไร บางคนถึงกับต้องโทษติดคุกติดตะรางก็มีมาก นี่ถ้าฉุกคิดสักนิดว่าการเมืองควรจะอยู่ในส่วนการเมือง การเมืองควรเล่นกันบนเวทีการเมือง ไม่ควรเล่นบนเวทีท้องถนน จะได้ไม่เกิดการเสียหาย แต่ก็ไม่ได้คิด

เราเลยติดหล่มมานานสิบกว่าปี จนเพื่อนบ้านเขาวิ่งไปถึงไหนแล้ว
เรายังเตาะแตะๆกันอยู่อย่างนี้ ดูประเทศเมียนมาเขาหน่อยก็ดีนะครับ

เขาไม่ต้องมาทะเลาะกันเอง แต่พอมีปัญหาต่างก็ออกมาช่วยชาติ นี่ซิครับ เราควรดูเอาเป็นตัวอย่างก็จะดีนะครับ ถ้าไม่ออกมาช่วยชาติก็อยู่เฉยๆก็ยังจะดีกว่าครับ ควรคิดว่าถ้าออกมาแล้วชาติจะเสียหาย ก็ต้องฉุกคิดกันให้มากๆครับ