posttoday

มอง ‘อินเดีย’ มุมใหม่ โอกาสธุรกิจค้าปลีก

22 มีนาคม 2561

“ค้าปลีก” ในอินเดียเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยขนาดประชากรที่มีมากกว่า 1,300 ล้านคน

โดย...ชลธิชา ภัทรสิริวรกุล

“ค้าปลีก” ในอินเดียเป็นอีกตลาดที่น่าสนใจ และมีการเติบโตอย่างรวดเร็ว ด้วยขนาดประชากรที่มีมากกว่า 1,300 ล้านคน อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี) 7-8% อย่างต่อเนื่อง และคาดว่าภายในปี 2563 จีดีพีของอินเดียจะโตในระดับเลข 2 หลัก ประกอบกับการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐานด้านโทรคมนาคม จึงทำให้มีประชากรที่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ 400 ล้านคน เหตุนี้จึงทำให้อินเดียเป็นเป้าหมายสำคัญของบริษัทค้าปลีกทั่วโลก

อดุลย์ โชตินิสากรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อดีตผู้อำนวยการอาวุโส สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ เมืองมุมไบ ผู้ที่ใช้ชีวิตอยู่ในอินเดียมานานจนได้ฉายาว่า “มิสเตอร์อินเดีย” กล่าวว่า ความน่าสนใจของประเทศอินเดียกับธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะค้าปลีกสมัยใหม่ คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากการเข้าสู่สังคมเมืองมากขึ้น โดยในปี 2560 พบว่าอินเดียมีชนชั้นกลาง หรือคนเมืองมากถึง 430 ล้านคน คิดเป็น 33% ของจำนวนประชากรทั้งหมด และคาดว่าในปี 2593 สัดส่วนจะเพิ่มเป็น 49% ทำให้เมืองขยายตัวมากขึ้น

“เมื่อเมืองขยาย ศูนย์การค้าก็ย่อมต้องเกิดขึ้นตามมา เพราะวิถีชีวิตของคนเมืองจะเปลี่ยนไป โมเดิร์นเทรดจะเข้าไปถึงมากขึ้น จึงเป็นโอกาสของธุรกิจอาหารพร้อมทาน อาหารแช่แข็งและอาหารกึ่งสำเร็จรูป แต่คนไทยส่วนใหญ่ยังมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับอินเดียอย่างจำกัด จึงทำให้มองข้ามความน่าสนใจของตลาดอินเดียไป” อดุลย์ กล่าว

ทั้งนี้ ภาพรวมของค้าปลีกทั่วโลกในปี 2560 มีมูลค่ารวม 23.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นประเทศที่มีมูลค่าค้าปลีกสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชีย อยู่ที่ 3.13 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วนอินเดียเป็นอันดับสอง 1.07 ล้านล้านดอลลาร์ ขณะที่ 3 ประเทศสมาชิกอาเซียน (ไทย มาเลเซีย และเวียดนาม) มีมูลค่ารวมเพียง 3 แสนล้านดอลลาร์

“ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงโอกาสของตลาดค้าปลีกอินเดีย แม้ว่าจีนจะมีตลาดที่ใหญ่กว่า แต่ปัจจุบันพบว่าค้าปลีกสมัยใหม่ในอินเดียยังมีอยู่น้อยมากเพียง 8% ขณะที่ค้าปลีกแบบดั้งเดิม (โชห่วย) ที่คนอินเดียเรียกว่า‘คิรานา Kirana’ มีมากถึง 92% โดยคาดว่ารัฐบาลพยายามเพิ่มสัดส่วนค้าปลีกสมัยใหม่เป็น 20% ในปี 2563” อดุลย์สะท้อนภาพที่ชัดเจนขึ้น

จะเห็นว่าสัดส่วนร้านค้าดั้งเดิมหรือคิรานาในอินเดียยังมีอยู่มากและเข้มแข็ง แต่ในที่สุดอินเดียจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดดจากร้านค้าดั้งเดิมไปสู่อี-คอมเมิร์ซ เพราะสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและทำออนไลน์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งบริษัทเหล่านี้ต้องการหาสินค้าไทยให้เข้าไปอยู่ในแพลตฟอร์มของตัวเอง เพราะสินค้าแบรนด์ไทยเป็นที่ยอมรับของคนอินเดีย ทำให้เป็นประโยชน์ต่อไทย เพราะในอนาคตถ้าพูดถึงตลาดอี-คอมเมิร์ซที่ใหญ่รองจากจีนก็น่าจะเป็นอินเดีย

นอกจากนี้ อินเดียยังมีประชากรอายุเฉลี่ยต่ำที่สุดในโลก ระหว่าง 27-28 ปีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มวัยทำงานที่มีการจับจ่าย และในช่วงหลายปีก่อน รัฐบาลอินเดียกำกับดูแลธุรกิจค้าปลีกอย่างใกล้ชิด เพราะกังวลว่าค้าปลีกต่างชาติ จะเข้าไปยึดตลาดและทำลายระบบธุรกิจค้าปลีกท้องถิ่น แต่ปัจจุบันข้อกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ เริ่มผ่อนปรนมากขึ้น โดยพยายามเปิดเสรีอนุญาตให้บริษัทค้าปลีกต่างชาติสามารถถือหุ้นในธุรกิจค้าปลีกจาก 51% เป็น 100% และสำหรับธุรกิจค้าปลีกประเภทมัลติแบรนด์ (ห้างสรรพสินค้า) เปิดให้บริษัทต่างชาติถือหุ้นได้ 51%

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลอินเดียยังมีเงื่อนไขอื่นๆ เพื่อปกป้องธุรกิจภายในประเทศ เช่น ออกกฎระเบียบให้ค้าปลีกต่างชาติที่ถือหุ้นได้ 100% ต้องมีเงินลงทุนอย่างน้อย 100 ล้านดอลลาร์ ต้องมีสินค้าท้องถิ่นในร้าน 30% และต้องจ่ายเงินอย่างน้อย 50 ล้านดอลลาร์ เพื่อใช้พื้นที่ในการจัดเก็บสินค้าและบริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับรายเล็กที่จะเข้าไป แต่หากจะเข้าไปช่วยในเรื่องของกระบวนการแปรรูปอาหาร เพื่อเติมเต็มช่องว่างที่มีอยู่ในตลาดอินเดียจะเป็นกลายเป็นโอกาสและตลาดขนาดใหญ่ของสินค้าไทย