posttoday

หนุนไทยร่วมมือจีน

28 เมษายน 2561

หลายทศวรรษที่ผ่านมา ไทยและจีนพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

โดย ปิยนุช ผิวเหลือง

หลายทศวรรษที่ผ่านมา ไทยและจีนพัฒนาความสัมพันธ์ทางการค้าและเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยไทยเป็นประเทศแรกๆ ในอาเซียนที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับจีนอย่างเป็นทางการ จนปัจจุบันไทยมีศูนย์วัฒนธรรมจีน และกรมการกงสุล ตั้งอยู่ในประเทศมากที่สุดในอาเซียน

หลู่ เจี้ยน เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เปิดเผยผ่านงานบรรยายพิเศษ หัวข้อ “นโยบายใหม่ในการเปิดเสรีของจีน” ว่า ไทยและจีนมีพื้นฐานความสัมพันธ์ที่ดีในทุกด้าน ซึ่งจุดเด่นของความร่วมมือทั้งสองประเทศ คือ การเชื่อมโยงทางด้านเศรษฐกิจ โดยจีนเป็นตลาดบริโภคขนาดใหญ่ เป็นโอกาสให้กับสินค้าอุปโภคบริโภคของไทย ขณะที่ไทยมีรูปแบบอุตสาหกรรมครบถ้วนในประเทศ มีจุดเด่นด้านวัฒนธรรมความเป็นไทยที่ช่วยดึงดูดการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหม่ๆ จากประเทศจีน เช่น อาลีบาบา หัวเว่ย และเจดีดอทคอม ปัจจุบันไทยกับจีนมีมูลค่าการค้าระหว่างกันประมาณ 73,630 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ทั้งนี้ การปฏิรูปนโยบายของจีนสร้างผลกระทบทั่วเอเชียและทั่วโลก เช่น การขับเคลื่อนนโยบายวันเบลต์วันโรด (One Belt One Road) เชื่อมโยง เส้นทางทั่วโลก โดยมีการลงนามความร่วมมือ 86 ประเทศ มีมูลค่าการค้าตลอดแนวเส้นทาง 3 ล้านล้านดอลลาร์ และเกิดการจ้างงานแล้ว 2.1 แสนตำแหน่ง จากการขับเคลื่อนนโยบายวันเบลต์วันโรด ทำให้จีนก้าวกระโดดสู่ประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก จากปี 2521 ที่จีดีพี ของจีนมีสัดส่วนแค่ 1.8% ของจีดีพีโลกเท่านั้น อีกทั้งยังทำให้ประชาชนในประเทศจีนหลุดพ้นจากความยากจนถึง 700 ล้านคน

หลู่ เพิ่มเติมว่า ปัจจุบันสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงขั้วอำนาจ ซึ่งการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของประเทศมหาอำนาจมีความสำคัญ ผู้นำประเทศมีสิทธิเลือกว่าจะกีดกันทางการค้า หรือร่วมมือทางเศรษฐกิจเพื่อกำหนดอนาคต เช่นเดียวกับกรณีความขัดแย้งด้านการค้าของจีนและสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งนี้ไม่มีประเทศใดที่สามารถตัดขาดความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกได้ เพราะเศรษฐกิจโลกยังต้องพึ่งพาอาศัยกัน

ขณะที่ในอนาคต หลู่เชื่อว่า จีนยังมีแรงขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง จากที่ผ่านมาจีนได้ทำข้อตกลงเขตการค้าเสรี 16 เขต กับ 24 ประเทศทั่วโลก ครอบคลุมสินค้ามากกว่า 8,000 ชนิด อีกทั้งมีการลดกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าต่อเนื่อง พบว่า ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2560 จีนลดภาษีสินค้านำเข้า 187 รายการ ทำให้อัตราภาษีเฉลี่ยลดลงจาก 17.3% เป็น 7.7% นอกจากนี้ในไตรมาสแรกของปี 2561จีดีพีของจีนเติบโตขึ้น 6.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตาม แม้รัฐบาลไทยและจีนจะพัฒนาความสัมพันธ์ที่แนบแน่นอย่างต่อเนื่อง แต่หลู่ แนะนำว่า ทั้งสองประเทศยังสามารถลดข้อจำกัดต่อกันได้อีก เช่น 1.รัฐบาลทั้งสองประเทศควรพัฒนาความเข้าใจเชิงนโยบายระหว่างกันให้มากขึ้น แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการลดความยากจน 2.ควรสร้างผลประโยชน์ร่วมกันจากการร่วมทุน 3.เพิ่มการบุกเบิกตลาดบริโภคซึ่งกันและกัน และ 4.ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างกันในทุกระดับมากขึ้น