posttoday

วางยุทธศาสตร์ ชี้เป้าตลาดข้าวจีน

16 มกราคม 2562

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดทำผลศึกษาความสามารถทางการแข่งขันของการส่งออกข้าวไทย

เรื่อง สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า

เมื่อเร็วๆ นี้ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ ได้จัดทำผลศึกษาความสามารถทางการแข่งขันของการส่งออกข้าวไทยในตลาดโลกกับความสามารถแข่งขันในเมืองสำคัญของจีน พบว่าไทยยังมีโอกาสที่จะส่งออกข้าวไปตลาดจีนได้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ 5 เมืองสำคัญของจีน ได้แก่ เสิ่นเจิ้น เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หนิงโป และอู่ฮั่น ซึ่งมีมูลค่านำเข้าข้าวรวมคิดเป็นสัดส่วน 80% ของการนำเข้าข้าวทั้งหมดของประเทศจีน

พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) ระบุว่า การศึกษาครั้งนี้สามารถต่อยอดกับแนวความคิด “การเป็นชาวนามืออาชีพ” และ “ตลาดนำการผลิต” ซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการส่งออกสินค้าข้าวไปยังประเทศจีนมากขึ้น รวมทั้งชี้เป้าให้เห็นถึงโอกาสการค้าข้าวสำหรับเกษตรกร และสร้างแรงจูงใจในการยกระดับจากเดิมที่ชาวนาส่วนใหญ่เป็นเพียงผู้ผลิต ได้มีโอกาสปลดล็อกตัวเองก้าวเข้าสู่บทบาทผู้ส่งออก โดยเฉพาะการรวมกลุ่มในรูปแบบสหกรณ์

สำหรับรายงานผลการศึกษาดังกล่าวพบว่าการส่งออกข้าวของไทยไปยังจีนมีมูลค่าทั้งหมด 544.52 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยจีนเป็นตลาดส่งออกข้าวลำดับที่ 2 ของไทย (ระหว่างปี 2558-2560) รองจากเบนิน และการส่งออกข้าวไปยัง 5 เมืองสำคัญของจีน ได้แก่ เสิ่นเจิ้น เซี่ยงไฮ้ กว่างโจว หนิงโป และอู่ฮั่น มีมูลค่ารวมถึง 448.82 ล้านดอลลาร์ หรือคิดเป็น 82.4% ของมูลค่าการส่งออกข้าวจากไทยไปจีนทั้งหมด

ด้านการนำเข้าข้าวของ 5 เมืองดังกล่าว พบว่าโตขึ้นถึง 7.5 เท่า ภายในระยะเวลา 10 ปี แต่ไทยมีสัดส่วนแบ่งตลาดลดน้อยลงจากปี 2551 ที่ไทยเคยมีส่วนแบ่งตลาดกว่า 90% แต่ปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดเหลือเพียง 30% ขณะที่เวียดนามมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจนมาอยู่ที่ประมาณ 53% ในปัจจุบัน

นอกจากนี้ ผลการศึกษายังพบว่าไทยสามารถส่งออกข้าวไปยัง 5 เมืองดังกล่าวเพิ่มขึ้นมีมูลค่าสูงถึง 223.19 ล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ส่งออกต่ำกว่าศักยภาพ เพื่อให้สอดคล้องกับศักยภาพการแข่งขัน แบ่งเป็นเสิ่นเจิ้น โดยไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 110.99 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันที่ไทยส่งออกข้าวไปเสิ่นเจิ้น 241.33 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเสิ่นเจิ้นมีประชากร 10 ล้านคน และจีดีพีมีมูลค่า 332.33 พันล้านดอลลาร์ เป็นอันดับที่ 3 ของจีน

เซี่ยงไฮ้ ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 47.47 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันไทยส่งออกข้าวไปเซี่ยงไฮ้ 114.96 ล้านดอลลาร์ โดยเซี่ยงไฮ้มีประชากร 23 ล้านคน และจีดีพีมีมูลค่า 446.31 พันล้านดอลลาร์ เป็นอันดับที่ 1 ของจีน ส่วนกว่างโจวนั้น ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 44.08 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันไทยส่งออกข้าวไปกว่างโจว 48.78 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้กว่างโจวมีประชากร 12.7 ล้านคน และจีดีพีมีมูลค่า 318.48 พันล้านดอลลาร์ เป็นอันดับที่ 4 ของจีน

ขณะที่ หนิงโป โดยไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 12.12 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันไทยส่งออกข้าวไปหนิงโป 16.43 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหนิงโปมีประชากร 7.6 ล้านคน และจีดีพีมีมูลค่า 145.84 พันล้านดอลลาร์ เป็นอันดับที่ 15 ของจีน และอู่ฮั่น ที่ไทยมีโอกาสส่งออกข้าวเพิ่มอีก 8.5 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันไทยส่งออกข้าวไปอู่ฮั่น 27.31 ล้านดอลลาร์ ทั้งนี้อู่ฮั่นมีประชากร 9.7 ล้านคน และจีดีพีมีมูลค่า 198.62 พันล้านดอลลาร์ เป็นอันดับที่ 9 ของจีน

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของการวางยุทธศาสตร์เจาะตลาดข้าวจีนเห็นว่า ควรส่งเสริมการค้าออฟไลน์ (Off-Line) สินค้าเพื่อสุขภาพและราคาสูงอย่างสินค้าข้าวออร์แกนิก เนื่องจากทั้ง 5 เมืองมีรายได้ต่อหัวสูง ร่วมมือกับผู้นำเข้าท้องถิ่นในการขยายตลาด รวมทั้งเน้นส่งเสริมการทำการค้าแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) การส่งเสริมการค้าออนไลน์ (On-Line) เน้นส่งเสริมการค้าที่เข้าถึงผู้บริโภครายย่อยของจีนด้วยแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซ โดยเฉพาะการส่งเสริมการค้าแบบสหกรณ์การเกษตรของไทยกับอี-คอมเมิร์ซของจีนในลักษณะเดียวกับการขายทุเรียน

นอกจากนี้ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งต้นน้ำ เน้นจัดทำบรรจุภัณฑ์เป็นภาษาจีน เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด กลางน้ำ ส่งเสริมการเรียนรู้การทำตลาดสินค้าออนไลน์ และปลายน้ำ ทำการตลาดในประเทศจีนตามเมืองเป้าหมาย สร้างการรับรู้ต่อข้าวไทยซึ่งมีความหลากหลาย และชูจุดเด่นด้านคุณภาพที่คัดสรรแล้วของข้าวไทย เป็นต้น และส่งเสริมการพัฒนาสินค้าให้สอดคล้องกับแนวคิด “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระยะ 5 ปี ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2559-2563) ของจีน” ทั้งเรื่องความปลอดภัยทางอาหาร ข้อมูลที่ครบถ้วน อาหารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รูปทรงทันสมัย รวมทั้งยังมีโอกาสค้าขายสินค้าเด็กทารกและเด็กแรกเกิดมากขึ้น หลังจากจีนได้ยกเลิกนโยบายลูกคนเดียว ซึ่งคาดว่าจะทำให้จำนวนเด็กแรกเกิดเพิ่มขึ้นด้วย