เชื่อม ‘เอเชียใต้’ ไทยผนึกเมียนมาเปิดประตูการค้าฝั่งอันดามัน

ไทยจับมือเมียนมาดันระนอง-เกาะสองเป็นจุดเชื่อมประตูการค้าฝั่งอันดามันสู่กลุ่มประเทศเอเชียใต้

นายธีระพล ชลิศราพงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า จ.ระนอง เป็นจังหวัดชายแดนติดต่อกับจังหวัดเกาะสองของเมียนมา ทั้งสองฝ่ายมีการติดต่อค้าขายกันทั้งทางบกและทางน้ำ โดยมีมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างกันประมาณปีละ 2 หมื่นล้านบาท รวมทั้งยังมีท่าเรือที่สามารถรองรับการค้าระหว่างประเทศได้ จึงทำให้มีศักยภาพสามารถเป็นจุดเชื่อมโยงและเป็นประตูการค้าจากหลายๆ จังหวัดของไทยในพื้นที่ภาคใต้ฝั่งอันดามันสู่ประเทศเมียนมา และกลุ่มประเทศเอเชียใต้ (BIMSTEC)

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา จ.ระนอง ได้จัดงานมหกรรมแสดงและจำหน่ายสินค้าไทย-เมียนมาขึ้นมา โดยได้เชิญประธานหอการค้าสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา พร้อมคณะหอการค้าจากจังหวัดเกาะสอง มะริดและทวายเข้าร่วมดังกล่าวด้วย เพื่อส่งเสริมสนับสนุนและสร้างโอกาสให้แก่ผู้ประกอบการทั้งของไทยและเมียนมาได้สร้างเครือข่ายและมองหาลู่ทางการค้าการลงทุนระหว่างกัน ซึ่งจะช่วยทำให้เกิดมูลค่าการค้าที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะมูลค่าการค้าชายแดน

นอกจากนี้ ยังได้จัดให้มีการเจรจาการค้า จับคู่ธุรกิจระหว่างหอการค้าจังหวัดระนอง รวมทั้งนักธุรกิจจากจังหวัดอื่นๆ ของไทย และนักธุรกิจของเมียนมาจาก 3 เมือง ได้แก่ เกาะสอง มะริด และทวาย อีกด้วย

ขณะเดียวกัน จ.ระนอง ก็ได้นำเสนอข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวของ จ.ระนอง ซึ่งมีทั้งจากการท่องเที่ยวของเอกชน และการท่องเที่ยวชุมชน ซึ่งธุรกิจท่องเที่ยวของ จ.ระนอง นับว่ามีศักยภาพและขยายตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้หาจุดเชื่อมโยงการท่องเที่ยวของทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน

อย่างไรก็ดี จากนโยบายสนับสนุนการค้าการลงทุนของไทยให้ก้าวสู่ความเป็นไทยแลนด์ 4.0 จึงเป็นโอกาสที่ดีของ จ.ระนอง ที่จะต้องพัฒนาคุณภาพและส่งเสริมช่องทางการตลาด ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของ จ.ระนอง รวมถึงการสร้างเครือข่ายพันธมิตรกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเพิ่มโอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ

สำหรับภาพรวมการค้าชายแดนในช่วง 4 เดือนแรก (ม.ค.-เม.ย. 2561) มีมูลค่าการค้ารวม 364,162 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.71% แบ่งเป็นการส่งออก มูลค่า 210,507.54 ล้านบาท ลดลง 5.31% และการนำเข้า 153,655.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.18% ทั้งนี้เป็นมูลค่าการค้าชายแดนผ่านด่านระนอง 8,152.13 ล้านบาท แบ่งเป็นการส่งออก 5,912.91 ล้านบาท ลดลง 31.03% และการนำเข้า 2,239.22 ล้านบาท ลดลง 15.14%