แม่สอดสะพัดแสนล้าน คาดปี'61โต10%

ค้าชายแดนแม่สอดโต มูลค่าทะลุ 1.13 แสนล้าน คาดปี 2561 ขยายตัว 10%

นายบรรพต ก่อเกียรติเจริญ ที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดตาก เปิดเผยว่า ภาพรวมการค้าชายแดนและข้ามแดนด่านแม่สอดสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในปี 2560 มีมูลค่ารวม 1.13 แสนล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าสูงสุดเมื่อเปรียบเทียบการค้าชายแดนไทย-เมียนมา ผ่านทางด่านชายแดนอื่นที่มีพรมแดนติดกับเมียนมา โดยเป็นการค้าชายแดนมูลค่ารวม 8.3 หมื่นล้านบาท เป็นการส่งออก 7.7 หมื่นล้านบาท นำเข้า 5,400 ล้านบาท และเป็นการค้าข้ามแดน 3 หมื่นล้านบาท

สำหรับสินค้าส่งออกที่สำคัญจากไทยไปยังเมียนมาผ่านด่านแม่สอด ได้แก่ น้ำตาลทราย รถจักรยานยนต์ โทรศัพท์มือถือ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง ผ้าฝ้าย เบียร์ เป็นต้น ส่วนสินค้านำเข้าจากเมียนมา ได้แก่ โค กระบือ ถั่วลิสง แร่พลวง สิ่งประดิษฐ์ทำด้วยไม้ เศษเหล็ก โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

"มูลค่าการส่งออกที่ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินจ๊าดของเมียนมาที่อ่อนตัวค่าลง ส่งผลให้ชาว เมียนมาชะลอการใช้จ่าย รวมทั้งการตัดสินใจซื้อสินค้าจากไทย เนื่องจากมีความรู้สึกว่าต้องควักเงินในกระเป๋าจ่ายเพิ่มมากขึ้น" นายบรรพต กล่าว

ทั้งนี้ คาดว่ามูลค่าการค้าชายแดนในปี 2561 จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10% เนื่องจากชาวเมียนมายังนิยมและต้องการใช้สินค้าไทยมากกว่าประเทศอื่น ประกอบกับเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษด้วย

อย่างไรก็ตาม การค้าชายแดน แม่สอดยังประสบปัญหา ทั้งในส่วนของฝั่งไทยและเมียนมา โดยในไทยยังติดปัญหาเรื่องการคมนาคมขนส่ง เนื่องจากเส้นทางการขนส่งกว่า 77% ผ่านสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แต่เส้นทางนี้ไม่ได้เตรียมการไว้สำหรับการขนส่งสินค้าที่มีปริมาณมาก ทำให้ขณะนี้เกิดความแออัดคับแคบของรถบรรทุกสินค้าต่อเนื่องกันเป็นระยะยาวและนาน ส่งผลให้ต้นทุนการขนส่งเพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดว่าสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 แล้วเสร็จ จะสามารถแก้ปัญหาได้

นายบรรพต กล่าวอีกว่า สำหรับ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ได้ขออนุมัติงบประมาณสนับสนุน เพื่อเตรียม ความพร้อมสำหรับการให้บริการทางศุลกากร โดยโครงการที่ดำเนินการแล้ว ได้แก่ โครงการปรับปรุงด่านพรมแดนแม่สอด และการนำระบบเทคโนโลยีมาใช้ในการอำนวยความสะดวกยานพาหนะผ่านพรมแดน ส่วนโครงการระยะยาว ที่อยู่ระหว่างดำเนินการ ได้แก่ โครงการก่อสร้างด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 ที่มีการกำหนดให้เป็นจุดปฏิบัติงานร่วม และจุดตรวจร่วมสินค้า ณ จุดเดียวของทั้งสองประเทศในพื้นที่ควบคุมร่วม คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปี 2562