posttoday

นักท่องเที่ยว และธุรกิจจีนในไทย

28 กันยายน 2561

นักท่องเที่ยวจีนเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเที่ยวต่างประเทศมากที่สุดในโลก

รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ศูนย์ศึกษาการค้าระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย

นักท่องเที่ยวจีนเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเที่ยวต่างประเทศมากที่สุดในโลก ปี 2556 นักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวต่างประเทศจำนวน 98 ล้านคน (World Tourism Cities Federation, 2014) ส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจีนจากแถบฝั่งทะเลภาคตะวันออก เช่น กว่างตุ้ง ฝูเจี้ยน เจ้อเจียง เซี้ยงไฮ้ และเจียงซู เป็นต้น

ขณะที่มณฑลจีนชั้นใน อย่างมณฑลหูหนาน หูเป่ย และเหอหนานยังไปเที่ยวต่างประเทศน้อยอยู่ โดย 80% ใช้บริษัททัวร์ มีประเทศเป้าหมายคือเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ต่อมาในปี 2560 นักท่องเที่ยวจีนไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มเป็น 130 ล้านคน (ใช้เงินไป 1.15 แสนล้านดอลลาร์) เพิ่มจาก 122 ล้านคนในปี 2559 โดยมาเที่ยวประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 ตามด้วยญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปฟินส์ ตามลำดับ

จะเห็นได้ว่าประเทศเป้าหมายของนักท่องเที่ยวจีนคือ ประเทศอาเซียน นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาเที่ยวอาเซียนจำนวน 19 ล้านคน คิดเป็น 15% ของนักท่องเที่ยวจีน ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวเองมากขึ้นกว่า โดยมากับทัวร์ลดลงจาก 80% เหลือ 40%

ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวจีนเที่ยวเวียดนามจำนวน 4 ล้านคน มากเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน เพราะเวียดนามมีชายแดนยาว 1,020 กม. ติดกับยูนนาน 1 แห่ง และมณฑลกว่างสี่จ้วงอีก 2 ด่าน คือ ด่าน Dong Dang ในจังหวัด Lang Son ของเวียดนาม กับด่านหยวยอี้กวนของหนานหนิง และด่าน Dongxing ของจีนกับด่าน Mong Cai ที่เมือง Quang Ninh ของเวียดนาม และมีการประชาสัมพันธ์ Cross Border Tourism Zone ของสองประเทศ

นักท่องเที่ยวจีนไปสิงคโปร์ 3.2 ล้านคน อินโดนีเซีย 1.4 ล้านคน ส่วนใหญ่มาเที่ยวบาหลีเป็นหลัก แต่อินโดฯ กำลังขายเมืองอื่นๆ มากขึ้น เช่น Toba Lake, Seribu Island และ Mount Bromo เป็นต้น มาเลเซียมีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามาจำนวน 2.5 ล้านคน และฟิลิปปินส์ 1 ล้านคน ในปี 2560

การเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีนในประเทศต่างๆ ก่อนหน้านี้เป็นแบบ “ทัวร์ศูนย์เหรียญ” แต่ปัจจุบันด้วยสภาพการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นกลายเป็น “ทัวร์ติดลบ” สำหรับไทยมีนักท่องเที่ยวจีนเดือน ส.ค. 2561 อยู่ที่ 8.6 แสนคน และในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวจีนเข้ามารวม 9.8 แสนคน โดยในปี 2561 นี้ต้องลุ้นกันว่าจะโตหรือไม่จากสาเหตุ 1.สงครามสหรัฐ-จีน เริ่มออกฤทธิ์ 2.เรือล่มที่ภูเก็ต และ 3.พายุเข้าที่ประเทศจีน 4.ค่าเงินหยวนที่อ่อนค่า

อย่างไรก็ดี การที่นักท่องเที่ยวจีนเข้ามาในประเทศไทยมากเป็นอันดับ 1 ส่งผลให้เห็น 3 เรื่องหลักๆ 1.เกิดธุรกิจค้าส่งค้าปลีก 2.เกิดการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ และ 3.เกิดธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารจีน ยังไม่นับรวมล้งจีน

ผมได้มีโอกาสสำรวจถนนประชาราษฎร์บำเพ็ญ ตรงบริเวณสี่แยกห้วยขวางนี้คือ “เยาวราช 2” หรือ “New China Town” ของไทย หรือ “ศูนย์กลางแหล่งช็อปปิ้งคนจีน” โดย 95% ทั้งสองฝั่งถนนเป็นธุรกิจของคนจีน โดยเช่าระยะเวลา 3 ปี ในอัตราค่าเช่า 5 หมื่น-1.5 แสนบาท/เดือน ยอดขายแต่ละร้านเฉลี่ยเดือนละ 2-3 แสนบาท/เดือน บางร้านขายเดือนละ 2-3 ล้านบาท โดย 35% เป็นร้านขายเครื่องสำอาง 27% เป็นร้านอาหารหรือภัตตาคาร 8% เป็นผลไม้แปรรูป และ 16% เป็นหมอนยางพารา

ข้อสังเกตคือ สินค้าส่วนใหญ่ผลิตในประเทศไทย แต่ไม่มีสถานที่ตั้งของบริษัท รูปแบบของการขายมีทั้งแบบรับสินค้ามาขายโดยตรงทั้งขายส่งและปลีก และขายส่งแบบมีเครือข่ายโรงงานผลิต การที่นักธุรกิจจีนเข้ามาทำธุรกิจในเมืองใหญ่ผลดีคือ 1.คนไทยมีงานทำ 30% เป็นคนไทยที่พูดจีนได้ อีก 60% มาจากแรงงานประเทศเพื่อนบ้านที่พูดจีนได้ 2.รถมอเตอร์ไซค์มีรายได้เพราะต้องส่งของ 3.คนจีนจับจ่ายใช้สอย และ 4.เจ้าของตึกมีรายได้ คาดว่าต่อเดือนเงินสะพัดอยู่ที่ 1 หมื่นล้านบาท ขณะที่ผลเสียคือ 1.การปิดกั้นธุรกิจ SMEs ของไทยเพราะต้องยอมรับความจริงใน 3 เรื่อง SMEs ไทยขาดเงินทุน ไม่รู้ภาษาจีน และไม่มีเครือข่ายนักท่องเที่ยวจีน 2.ในอนาคตเกิดการแข่งขันรุนแรงขึ้น 3.การสร้างตราสินค้าของตนเองเพื่อแข่งกับตราสินค้าไทย และ 4.ย้ายฐานการผลิตไปจีน